Saturday, July 24, 2010
พบดาวใหม่ ' R136a1 ' สว่างกว่าดวงอาทิตย์ 10 ล้านเท่า R136a1: Monster star too big to be true?
R136a1 could once have been 320 times as massive as the sun. That's twice as massive as scientists thought a star could be. Perhaps R136a1 is several stars close together, some say.
นักดาราศาสตร์ยุโรปค้นพบดาวดวงใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยเห็น ขนาดมวลใหญ่กว่าและให้แสงสว่างมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 10 ล้านเท่า อยู่ไกลจากกลุ่มกาแลคซี-ทางช้างเผือก 1.65 แสนปีแสง..
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ตามเวลาท้องถิ่น ว่า นักดาราศาสตร์ในยุโรป ออกมาระบุว่าได้ค้นพบดาวดวงใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยพบเห็น ชื่อ " R136a1 " ขนาดมวลใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ราว 150 เท่า แสงสว่างจากการเผาไหม้ตัวเองมากกว่าดวงอาทิตย์เกือบ 10 ล้านเท่า
โดยดาวดวงนี้อยู่ไกลจากกลุ่มเมฆกาแลคซีและทางช้างเผือกมากกว่า 165,000 ปีแสง อุณหภูมิผิวดาวสูงกว่า 40,000 องศาเซลเซียส หรือมากกว่าดวงอาทิตย์ 7 เท่า แต่แสงสว่างเกิดเร็วและดับเร็ว มีอายุยืนยาวที่สุดเพียง 3 ล้านปี.
ภาพที่มาจากยุโรป Southern Observatory นี้จะแสดงภาพที่ใกล้อินฟราเรดใหม่ของกลุ่ม R136 ที่เกิดสามดาวสว่างแต่ละหนักกว่า 150 เท่ามวลของดวงอาทิตย์ ดาวใหญ่ที่สุดเรียกว่า R136a1 ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของภาพ
This image provided by the European Southern Observatory shows a new near-infrared image of the R136 cluster. At birth, the three brightest stars each weighed more than 150 times the mass of the sun. The most massive star, known as R136a1, is located at the center of the image.
ESO/AP
5 เรื่องเกี่ยวกับเกาหลีที่คุณอาจไม่รู้ (5 about Korea that you may not know)
วัฒนธรรม บันเทิงจากแดนเกาหลีในบ้านเรายังไม่สิ้นมนต์ขลัง หนัง , เพลง หรือละคร จากแดนกิมจิอาจจะฮิตระเบิดเถิดเทิง แต่มีอะไรอีกหลายอย่างที่แฟนๆ อาจจะมองข้าม
1. ชื่อประเทศ Korea มาจากชื่อโสม
โสม เกาหลีได้ชื่อว่าคุณภาพดีที่สุด มีชื่อเรียกเฉพาะว่า โสมกอริโย (Goryeoginseng) ตั้งตามชื่อราชวงศ์กอริโย (ค.ศ.918-1392) ก่อนจะกลายมาเป็นชื่อประเทศเกาหลี
มีชื่อเต็มยศว่า Republic of Korea หรือ สาธารณรัฐเกาหลีใต้
2. ความหมายของธงชาติเกาหลี
วง กลมที่อยู่กลางธงชาติเรียกว่า "หยิน" (สีน้ำเงิน) - "หยาง" (สีแดง) เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของจักรวาล สื่อถึงความแตกต่างที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน
กลุ่มเส้นขีดที่มุม ทั้งสี่ของธงชาติมีความหมายแตกต่างกัน กลุ่มเส้นขีดที่มุมล่างขวาแทนโลก มุมซ้ายบนแทนสวรรค์ มุมขวาแทนน้ำ และมุมล่างซ้ายแทนไฟ สื่อถึงความแตกต่างและความสมดุล ส่วนพื้นขาวนั้นแสดงถึงความบริสุทธิ์และจิตใจที่รักสงบของชาวเกาหลี
3. สัญลักษณ์กิมจิแท้จากเกาหลี
กิมจิเป็นอาหารเกาหลีที่เรารู้จักกันดี และในบ้านเราสามารถหาซื้อกิมจิสำเร็จรูปได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต
ถ้าเป็นกิมจิแท้จากเกาหลี ต้องสังเกตตัวสัญลักษณ์นี้ สร้างขึ้นโดยองค์กรการค้าเกษตรกรรมและการประมงประเทศเกาหลี เมื่อเดือนมิ.ย.2543 จะพบสัญลักษณ์นี้เฉพาะกิมจิที่ผลิตและใช้วัตถุดิบในประเทศเกาหลีเท่านั้น
ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมกิมจิจากเกาหลีและให้ผู้บริโภคแยกได้ชัดเจนระหว่างกิมจิเกาหลีและกิมจิญี่ปุ่น
4. เกาหลีประเทศแรกที่มีการพิมพ์
ชาวเกาหลีประดิษฐ์แม่พิมพ์ไม้ ได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ตัวพิมพ์โลหะชิ้นแรกของโลกก็ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวเกาหลี และในศตวรรษที่ 13 ในสมัยราชวงศ์กอริโย ได้พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีขึ้นด้วยแม่พิมพ์ไม้
แม่พิมพ์ไม้นี้เป็นแม่พิมพ์ไม้พระคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดในโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1995 หรือ พ.ศ.2538
5. ภาษาจีนอ่านยาก ทำให้เกิดภาษาเกาหลี
ประเทศเกาหลีประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 5 โดยพระเจ้าเซจงมหาราช แต่อ่านเขียนค่อนข้างยาก ทำให้ชาวเกาหลีอ่านหรือเขียนหนังสือได้น้อย พระเจ้าเซจงมหาราชจึงประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใหม่ มีพยัญชนะ 14 ตัว และสระ 10 ตัว ประกอบขึ้นเป็นคำที่อ่านและเข้าใจได้ง่าย
ตัวอักษรชุดนี้ทำให้ชาวเกาหลีรู้หนังสือมากขึ้น และได้ชื่อว่าเป็นชนชาติหนึ่งที่รักการอ่านยิ่งในปัจจุบัน
Tuesday, February 16, 2010
การกลับมาของทองคำในฐานะทุนสำรอง The return of gold as reserves
ช่วงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของค่าเงินยูโร และค่าเงิน US ดอลลาร์สหรัฐ ย้อนอดีตกันสักนิดหน่อยก่อนครับ ทองคำเคยมีความสำคัญต่อระบบการเงินโลกมาอย่างยาวนาน ระบบการเงินโลกสมัยแรกๆ มีการผูกอัตราแลกเปลี่ยนเงินแต่ละสกุลไว้กับทองคำ ที่เรียกว่า Gold Standdard ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ที่ถูกใช้เป็นเงินทุนสำรองทั่วโลกเคยตีมูลค่าตายตัวไว้ที่ 35 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อทองคำ 1 ออนซ์ ก่อนจะถูกยกเลิกไปเพราะเมื่อมีการเพิ่มปริมาณดอลลาร์เข้ามาในระบบการเงินโลกจำนวนมากก็ไม่มีทางที่จะกดราคาทองคำ ไว้ที่เดิมได้อีกต่อไป ระบบการเงินสมัยใหม่นำโดยสหรัฐอเมริกาเป็นผู้กำหนดกฏเกณฑ์ เริ่มก่อเงินเฟ้อขึ้นเรื่อยๆเพื่อดันระบบเศรษฐกิจให้โต จนล่าสุด นวัตกรรมทางการเงินที่คิดค้นจนซับซ้อนสามารถทำให้เงินก้อนเล็กๆ กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ หนีเน่า กลายเป็นหนี้ดีจนเป็นที่มาของวิกฤติซัพไพรม์ ลามไปทั่วโลกจนเดี๋ยวนี้ ยังหาจุดจบไม่เจอ
การยกเลิกทองคำเป็นทุนสำรอง ทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารระบบการเงินมากขึ้นแต่สิ่งสำคัญที่ห้ามละเลยคือการกำกับดูแลด้วยกฏเกณฑ์ที่ดีครับ ช่วงหลัง สหรัฐผ่อนคลายกฏเกณฑ์จนกลายเป็นการละเลยอาจจะด้วยระบบการเมืองที่มีกลุ่มผลประโยชน์แอบแฝงอยู่หรืออย่างไรก็แล้วแต่ทำให้ระบบการเงินโลกวันนี้มีปัญหา และที่หนักสุดเวลานี้คงเป็นยุโรปกับสหรัฐอเมริกานี่แหละครับ ประเทศต่างๆทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงปัญหา เริ่มมองหาเงินสกุลใหม่ที่มีเสถียรภาพนำมาเป็นทุนสำรองแทนดอลล่าร์ ซึ่งมีการถ่วงดุลด้วยค่าเงินสกุลหลักหลายสกุลในโลกรวมถึงทองคำ
เล่ามาตั้งนาน เพราะอยากจะโยงกับข่าว 2 ข่าวเกิดขึ้นในช่วงนี้คือข่าวการประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่มยูโรโซน ในวันนี้ (15 กุมภาพันธ์) เกี่ยวกับแนวทางเข้าช่วยเหลือกรีซ กับอีกข่าวคือการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐสมาชิกสภาล่างสหรัฐ เพิ่งจะลงมติเพิ่มเพดานหนี้ให้ขึ้นไปที่ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นเพดานที่ประวัติการณ์เพื่อให้รัฐบาลกลางสามารถกู้ยืมเงินได้อีก 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้โอบามา เอาไปกู้วิกฤติ กระตุ้นเศรษฐกิจต่อ
เงินยูโร กำลังเผชิญกับปัญหาหนักจากการรวมตัวกันเพื่อสร้างเงินสกุลเดียวในยุโรป หากแนวทางการแก้ปัญหากรีซที่ออกมาไม่ชัดเจนเป็นรูปธรรมอาจสั่นคลอนสถานะการรวมตัวที่ไม่แน่นหนานักในกลุ่มประเทศสมาชิกที่ใช้เงินยูโรได้ด้วยความแตกต่างในสถานะการเงิน ความแข็งแกร่งของแต่ละประเทศ และนอกจากกรีซก็ยังมีประเทศอื่นในกลุ่มที่ง่อนแง่นจ่อคิวสร้างปัญหาอยู่เช่นกัน
ส่วนดอลลาร์สหรัฐ จริงๆสภาพก็ไม่ต่างกันกับยูโรปเลย บางรัฐในสหรัฐกำลังเผชิญปัญหาถังแตกไม่แพ้กัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานของตัวเองอยู่ครับสาเหตุเพียงเพราะข่าวที่ออกมาในช่วงที่ผ่านมา ดูแย่น้อยกว่ายูโรปเท่านั้นเองแต่การเปิดเพดานการก่อหนี้เพิ่มล่าสุดนี่คงจะนำไปสู่การอ่อนค่าลงต่อของดอลลาร์ค่อนข้างแน่นอนระบบการเงินโลกยังมีปัญหาแบบนี้ ทำให้ทองคำกลับมามีบทบาทครับ เพราะทองคำก็เปรียบเสมือนเงินอีกสกุล ที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในยามนี้
ราคาทองคำที่ลงมาในช่วงนี้ สาเหตุหลัก มองกันว่าเพราะดอลล่าร์กำลังแข็งค่านี่แหละครับ แต่การแข็งค่าแบบไร้ปัจจัยหนุนแบบนี้เชื่อได้เลยครับว่า ไม่นานก็ต้องพับฐานลงมา ดอลลาร์ที่มีอยู่ในระบบทุนสำรองโลกโดยเฉพาะจีน ที่ถือไว้มากกว่าครึ่งของทุนสำรองของตนกำลังจะถูกผ่องถ่ายออกไปเป็นสินทรัพย์อย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนรวมถึงการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติทั่วโลก รวมถึงทองคำ
หากใครติดตามมาตั้งแต่บทความแรก ที่ผมพูดถึงกองทุนใหญ่อย่าง SPDR Gold Shares ที่ผมบอกว่า ให้จ้องขาใหญ่รายนี้ให้ดีๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุน Sovereign Wealth Fund ของจีน ได้เข้าไปซื้อหุ้น SPDR 1.45 ล้านหุ้น เป็นเงินราว 155.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่มากไม่น้อย แต่มีนัยสำคัญแน่นอนครับเหลือแต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ยังไม่เห็นปริมาณทองคำของ SPDR ขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย แต่จีนเริ่มขยับเข้าซื้อแบบนี้เดี๋ยวก็น่าจะได้เห็น SPDR เริ่มเก็บของเช่นกันครับ
ปิดท้ายด้วย ราคาทองคำที่ปิดสัปดาห์ไปที่ราคา 1,093 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ปิดบวกได้เป็นครั้งแรก หลังจากร่วงลงตลอด 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังคงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ผมทิ้งท้ายไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าหากผ่านได้ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับทิศเป็นขาขึ้น (อย่างน้อยก็ชั่วคราว) งานนี้ถึงยังไม่ผ่าน แต่ก็เริ่มเห็นแสงปลายอุโมงค์กันแล้ว
ที่มา : นสพ.ไทยรัฐ
Saturday, February 6, 2010
ทองคำลดลง 600 บาท Gold down 600 baht
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 09:45 น.
หลังราคาในตลาดโลกร่วง 49 ดอลล์ นักลงทุนแห่เทขาย เนื่องจากเงินดอลล์แข็งค่า
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,063.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 49.00 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,112-1,059 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 15.35 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 96.70 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ดิ่งลง 9.45 เซนต์ ปิดที่ 2.879 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,515.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 60.90 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 408.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 28.40 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัท Prospector Asset Management ในมลรัฐอิลลินอยส์กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาทองคำต่อเนื่องจากวันพุธ หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลที่เพิ่มขึ้นในประเทศกรีซ สเปน และโปรตุเกส ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายสกุลเงินยูโรและแห่ซื้อดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายสัญญาทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุนในตลาดอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้น โดยดัชนี MSCI World Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดตลาดหุ้นใน 23 ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกร่วงลงหนักสุดในรอบ 6 เดือน อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่าหลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะกรีซ จะไม่สามารถจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณได้
ทำให้ ราคาทองคำประจำวันที่ 5 ก.พ. 2553 ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ลดลงทันทีถึง 600 บาท โดย ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ16,700 ขายออกบาทละ16,800 ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 16,463.76 ขายออกบาทละ 17,200 บาท
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนัก หลังเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,063.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 49.00 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,112-1,059 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 15.35 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 96.70 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ดิ่งลง 9.45 เซนต์ ปิดที่ 2.879 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,515.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 60.90 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 408.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 28.40 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัท Prospector Asset Management ในมลรัฐอิลลินอยส์กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาทองคำต่อเนื่องจากวันพุธ หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลที่เพิ่มขึ้นในประเทศกรีซ สเปน และโปรตุเกส ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายสกุลเงินยูโรและแห่ซื้อดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยง ความเสี่ยง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายสัญญาทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุนในตลาดอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้น โดยดัชนี MSCI World Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดตลาดหุ้นใน 23 ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกร่วงลงหนักสุดในรอบ 6 เดือน อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่าหลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะกรีซ จะไม่สามารถจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณได้
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
หลังราคาในตลาดโลกร่วง 49 ดอลล์ นักลงทุนแห่เทขาย เนื่องจากเงินดอลล์แข็งค่า
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,063.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 49.00 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,112-1,059 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 15.35 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 96.70 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ดิ่งลง 9.45 เซนต์ ปิดที่ 2.879 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,515.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 60.90 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 408.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 28.40 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัท Prospector Asset Management ในมลรัฐอิลลินอยส์กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาทองคำต่อเนื่องจากวันพุธ หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลที่เพิ่มขึ้นในประเทศกรีซ สเปน และโปรตุเกส ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายสกุลเงินยูโรและแห่ซื้อดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายสัญญาทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุนในตลาดอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้น โดยดัชนี MSCI World Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดตลาดหุ้นใน 23 ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกร่วงลงหนักสุดในรอบ 6 เดือน อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่าหลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะกรีซ จะไม่สามารถจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณได้
ทำให้ ราคาทองคำประจำวันที่ 5 ก.พ. 2553 ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ลดลงทันทีถึง 600 บาท โดย ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ16,700 ขายออกบาทละ16,800 ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 16,463.76 ขายออกบาทละ 17,200 บาท
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนัก หลังเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,063.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 49.00 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,112-1,059 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 15.35 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 96.70 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.ดิ่งลง 9.45 เซนต์ ปิดที่ 2.879 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,515.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 60.90 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 408.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 28.40 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัท Prospector Asset Management ในมลรัฐอิลลินอยส์กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาทองคำต่อเนื่องจากวันพุธ หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลที่เพิ่มขึ้นในประเทศกรีซ สเปน และโปรตุเกส ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายสกุลเงินยูโรและแห่ซื้อดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยง ความเสี่ยง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายสัญญาทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุนในตลาดอื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้น โดยดัชนี MSCI World Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดตลาดหุ้นใน 23 ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกร่วงลงหนักสุดในรอบ 6 เดือน อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่าหลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะกรีซ จะไม่สามารถจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณได้
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
Monday, February 1, 2010
ทองรูปพรรณวันนี้ขายออกบาทละ 17,500 Gold sales today 17,500 baht.
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 09:40 น.
ทองรูปพรรณวันนี้ขายออกบาทละ 17,500 บาท ทองแท่งขายออก 17,100 บาท
สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาทอง (ทองคำ 96.5%) ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ทองคำแท่งรับซื้อคืนบาทละ 17,000 บาท ขายออก 17,100 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 16,751.80 บาท ขายออก 17,500 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดลบ 1 ดอลลาร์ แตะที่ระดับ 1,083.80 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1075.0 - 1088.2 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 16.190 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 2.2 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,506 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 12.10 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 412.65 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 70 เซนต์
สัญญาทองคำ COMEX อ่อนตัวลงเพราะถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากนักลงทุนแห่ไปซื้อขายในตลาดปริวรรตเงินตรา หลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีเกินคาด ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้จุดกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าประเทศอื่นๆที่อยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลงในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มหมดอายุลง
สำหรับราคาทองคำในประเทศตามประกาศของมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 17,000 ขายออกบาทละ 17,100ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 16,751.80 ขายอกบาทละ 17,500บาท
ทองรูปพรรณวันนี้ขายออกบาทละ 17,500 บาท ทองแท่งขายออก 17,100 บาท
สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาทอง (ทองคำ 96.5%) ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ทองคำแท่งรับซื้อคืนบาทละ 17,000 บาท ขายออก 17,100 บาท ทองรูปพรรณรับซื้อคืนบาทละ 16,751.80 บาท ขายออก 17,500 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดลบ 1 ดอลลาร์ แตะที่ระดับ 1,083.80 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1075.0 - 1088.2 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 16.190 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 2.2 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,506 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 12.10 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 412.65 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 70 เซนต์
สัญญาทองคำ COMEX อ่อนตัวลงเพราะถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เนื่องจากนักลงทุนแห่ไปซื้อขายในตลาดปริวรรตเงินตรา หลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีเกินคาด ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้จุดกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าประเทศอื่นๆที่อยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลงในช่วงปลายปีนี้ หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มหมดอายุลง
สำหรับราคาทองคำในประเทศตามประกาศของมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 17,000 ขายออกบาทละ 17,100ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 16,751.80 ขายอกบาทละ 17,500บาท
Tuesday, January 26, 2010
ทองคำปิดบวก 6 ดอลล์ Gold closed plus 6 Dollar
วันอังคารที่ 26 มกราคม 2553 11:55น.
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก จากปัจจัยบวกการร่วงลงของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ดีดขึ้น 6.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,095.70 ดอลลาร์/ออนซ์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 21.3 เซนต์ ปิดที่ 17.145 ดอลลาร์/ออนซ์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 1.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,546.10 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 10 เซนต์ ปิดที่ 440 ดอลลาร์/ออนซ์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนสัญญาทองคำดีดตัวขึ้น โดยเมื่อวานนี้ ดัชนี ICE Futures US dollar index ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินหลักๆ ร่วงลง 0.1%
นักวิเคราะห์จากเอ็มเอฟ โกลบอล คาดการณ์ว่า สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำและน้ำมันดิบ อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมเข้มด้านการปล่อยเงินกู้ของจีนและสหรัฐ
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถือครองทองคำที่ระดับ 1,111.922 ตัน ณ วันที่ 22 ม.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ 19 ม.ค.
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
ดอลล์อ่อน ดันทองคำปิดบวก 6ดอลลาร์
สัญญา ทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก เพราะได้ปัจจัยบวกจากการร่วงลงของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ภาวะการซื้อขายค่อนข้างเงียบเหงา และนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังหลังจากสัญญาทองคำร่วงลงอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ ที่แล้ว...
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ก.พ.ดีดขึ้น 6 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 21.3 เซนต์ ปิดที่ 17.145 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 1.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,546.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 10 เซนต์ ปิดที่ 440 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนสัญญาทองคำดีดตัว ขึ้น โดยเมื่อวานนี้ ดัชนี ICE Futures US dollar index ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินหลักๆ ร่วงลง 0.1%
นักวิเคราะห์จากเอ็มเอฟ โกลบอล คาดการณ์ว่า สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำ และน้ำมันดิบ อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมเข้มด้านการปล่อยเงินกู้ของจีนและสหรัฐ
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถือครองทองคำ ที่ระดับ 1,111.922 ตัน ณ วันที่ 22 ม.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ 19 ม.ค. ปิดที่ 1,095.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ทั้งนี้ ราคาทองคำแท่ง 96.5% รับซื้อ 17,150 บาท ขายออก 17,250 บาท และราคาทองรูปพรรณ รับซื้อ 16,903.40 บาท ขายออก 17,650 บาท
ที่มา ไทยรัฐ
Friday, January 22, 2010
ราคาทองคำร่วงลง $13.50 หลังดอลลาร์ร่วง Gold prices fell $ 13.50 after falling U.S. $
วันที่ 23 มกราคม 2553 08:53 น.
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (22 ม.ค.) หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ เสนอให้ใช้นโยบายจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงิน ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดภาวะตึงตัวในภาคการธนาคาร ซึ่งปัจจัยนี้ยังมีผลต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆด้วยเช่นกัน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,089.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 13.50ดอลลาร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1,081.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 16.932 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 57.8 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,544.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 47.60 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 440.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 13.85 ดอลลาร์
ที่มา อินโฟเควสท์
น้ำมันดิ่งต่ำสุดรอบ1เดือนหลังกังวลอุปสงค์-หุ้นมะกันทรุดแรง
วันที่ 23 มกราคม 2553 05:13 น.
เอเอฟพี - ราคาน้ำมันร่วงลงต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ แตะระดับ 74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันศุกร์(22) หลังตลาดกังวลต่ออุปสงค์พลังงานในสหรัฐฯและจีน ขณะที่วอลล์สตรีทปิดลบแรง เหตุความตื่นตระหนกต่อแผนของทำเนียบขาวให้ใช้นโยบายจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงินเพื่อลดความเสี่ยง
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมีนาคม ลดลง 1.54 ดอลลาร์ ปิดที่ 74.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายดิ่งลงถึง 74.33 ดอลลาร์ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.75 ดอลลาร์ ปิดที่ 72.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนหนึ่งในรายงานประจำสัปดาห์ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี(21) ระบุว่าในสัปดาห์ที่แล้ว โรงกลั่นน้ำมันต่างๆปฏิบัติการเพียงแค่ 78.4 เปอร์เซ็นต์ของความสามารถทั้งหมด ถือว่าต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ยกเว้นกรณีที่ต้องเผชิญกับเฮอร์ริเคน
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์(22) ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลงมากกว่า 200 จุดเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน บนความกังวลเกี่ยวกับแผนจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงินเพื่อลดความเสี่ยงของบารัค โอบามา และข้อสงสัยว่า เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางอเมริกา จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้อีกสมัยหรือไม่
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 216.90 จุด (2.09 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 10,172.98 จุด แนสแดค ลดลง 60.14 จุด (2.67 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,205.29 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 24.72 จุด (2.21 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,091.73 จุด
ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวในแดนลบของตลาดห้นสหรัฐฯ มีขึ้นสืบเนื่องจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา เสนอให้ใช้นโยบายจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงินเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างหนัก โดยกฎดังกล่าวคล้ายกับมาตรการควบคุมภาคธนาคารที่สหรัฐเคยนำมาใช้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930
มาตรการชุดใหม่นี้จะรวมถึงการกำหนดเพดาน ความซับซ้อนและขนาดของการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบริษัทเอง (proprietary trading) ซึ่งทางทำเนียบขาวจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อปรับสิ่งนี้ให้เป็นร่างกฎหมายต่อไป
อนึ่งโอบามากำลังเล่นงานสถาบันการเงินที่ตกเป็นเป้าแห่งความไม่พอใจของประชาชน เพราะในขณะที่ชาวสหรัฐฯกำลังเผชิญกับอัตราการว่างงานราว 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้บริหารธนาคารกลับได้รับเงินโบนัสหลายล้านดอลลาร์
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (22 ม.ค.) หลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ เสนอให้ใช้นโยบายจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงิน ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่านโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดภาวะตึงตัวในภาคการธนาคาร ซึ่งปัจจัยนี้ยังมีผลต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆด้วยเช่นกัน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,089.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 13.50ดอลลาร์ หลังจากดิ่งลงแตะ 1,081.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 16.932 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 57.8 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,544.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 47.60 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 440.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 13.85 ดอลลาร์
ที่มา อินโฟเควสท์
น้ำมันดิ่งต่ำสุดรอบ1เดือนหลังกังวลอุปสงค์-หุ้นมะกันทรุดแรง
วันที่ 23 มกราคม 2553 05:13 น.
เอเอฟพี - ราคาน้ำมันร่วงลงต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ แตะระดับ 74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันศุกร์(22) หลังตลาดกังวลต่ออุปสงค์พลังงานในสหรัฐฯและจีน ขณะที่วอลล์สตรีทปิดลบแรง เหตุความตื่นตระหนกต่อแผนของทำเนียบขาวให้ใช้นโยบายจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงินเพื่อลดความเสี่ยง
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมีนาคม ลดลง 1.54 ดอลลาร์ ปิดที่ 74.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายดิ่งลงถึง 74.33 ดอลลาร์ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.75 ดอลลาร์ ปิดที่ 72.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนหนึ่งในรายงานประจำสัปดาห์ของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี(21) ระบุว่าในสัปดาห์ที่แล้ว โรงกลั่นน้ำมันต่างๆปฏิบัติการเพียงแค่ 78.4 เปอร์เซ็นต์ของความสามารถทั้งหมด ถือว่าต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ยกเว้นกรณีที่ต้องเผชิญกับเฮอร์ริเคน
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์(22) ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลงมากกว่า 200 จุดเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน บนความกังวลเกี่ยวกับแผนจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงินเพื่อลดความเสี่ยงของบารัค โอบามา และข้อสงสัยว่า เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางอเมริกา จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้อีกสมัยหรือไม่
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 216.90 จุด (2.09 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 10,172.98 จุด แนสแดค ลดลง 60.14 จุด (2.67 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,205.29 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 24.72 จุด (2.21 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,091.73 จุด
ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวในแดนลบของตลาดห้นสหรัฐฯ มีขึ้นสืบเนื่องจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา เสนอให้ใช้นโยบายจำกัดขนาดและการลงทุนของสถาบันการเงินเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างหนัก โดยกฎดังกล่าวคล้ายกับมาตรการควบคุมภาคธนาคารที่สหรัฐเคยนำมาใช้ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930
มาตรการชุดใหม่นี้จะรวมถึงการกำหนดเพดาน ความซับซ้อนและขนาดของการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบริษัทเอง (proprietary trading) ซึ่งทางทำเนียบขาวจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อปรับสิ่งนี้ให้เป็นร่างกฎหมายต่อไป
อนึ่งโอบามากำลังเล่นงานสถาบันการเงินที่ตกเป็นเป้าแห่งความไม่พอใจของประชาชน เพราะในขณะที่ชาวสหรัฐฯกำลังเผชิญกับอัตราการว่างงานราว 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ผู้บริหารธนาคารกลับได้รับเงินโบนัสหลายล้านดอลลาร์
ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
Thursday, January 21, 2010
ดอลลาร์แข็งค่า กดราคาทองร่วงลงกว่า 27.40 ดอลลาร์ U.S. $ rise. Lower the price of gold fell to $ 27.40 investor concerns over Chinese control emissions intensity Bank loans.
วันที่ 21 มกราคม 2553 08:50
ดอลลาร์แข็ง กดราคาทองร่วงลงกว่า 27.40 ดอลลาร์ นักลงทุนกังวลจีนคุมเข้มแบงก์ปล่อยสินเชื่อ
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (20 ม.ค.) เพราะถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น และจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวจีนคุมเข้มการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์
โดยนักลงทุนมองว่าการที่จีนใช้มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และอาจทำให้ดีมานด์สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำ ลดน้อยลงด้วย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,112.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 27.40 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,141.70 - 1,106.80 ดอลลาร์
สัญญาทองคำร่วงลงหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลหลักๆ และหลังจากคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการธนาคารจีนได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์บางส่วนจำกัดการปล่อยเงินกู้ พร้อมกับประกาศเป้าหมายการปล่อยกู้ภายในประเทศเอาไว้ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน หรือ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และจะยังคงควบคุมระดับการขยายตัวและปริมาณสินเชื่อในปีนี้
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองคำที่ระดับ 1,111.922 ตัน ณ วันที่ 19 ม.ค. ลดลง 0.08% จากวันที่ 18 ม.ค
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 21 มกราคม 2553 07:38
วิตกจีนเข้มงวดปล่อยกู้ฉุดดาวโจนส์ลบ 122 จุด น้ำมันดิบลงแตะระดับ 77 เหรียญ ทองร่วงแรงลบ27เหรียญ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา( 20 ม.ค.2553) ดัชนีปรับลดลงอย่างหนัก จากข่าวสถาบันการเงินของจีนเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและกู้ยืม เงินมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้นักลงทุนหวั่นวิตกว่าอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 10,603.15 จุด ลดลง 122.28 จุด หรือ 1.14% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 2,291.25 จุด ลดลง 29.15 จุด หรือ 1.26% และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,138.04 ลดลง 12.19 จุด หรือ 1.06%
ตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 5,420.80 จุด ลดลง 92.34 จุด หรือ 1.67% ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,851.53 จุด ลดลง 124.95 จุด หรือ 2.09% และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,928.95 จุด ลดลง 80.72 จุด หรือ 2.01%
ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 76.32 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 1.31 ดอลลาร์สหรัฐ.
ด้านราคาน้ำมันดิบที่ตลาดล่วงหน้านิวยอร์ค(ไนเม็กซ์) ลดลง 1.40 ดอลลาร์สหรัฐตามตลาดหุ้นโดยไปปิดที่ระดับ 77.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
เช่นเดียวกับราคาทองคำที่ร่วงแรงโดยลดลงกว่า 27.40ดอลลาร์ ปิดตลาดที่ระดับ 1,112.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ดอลลาร์แข็ง กดราคาทองร่วงลงกว่า 27.40 ดอลลาร์ นักลงทุนกังวลจีนคุมเข้มแบงก์ปล่อยสินเชื่อ
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (20 ม.ค.) เพราะถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น และจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวจีนคุมเข้มการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์
โดยนักลงทุนมองว่าการที่จีนใช้มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และอาจทำให้ดีมานด์สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำ ลดน้อยลงด้วย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,112.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ดิ่งลง 27.40 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,141.70 - 1,106.80 ดอลลาร์
สัญญาทองคำร่วงลงหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลหลักๆ และหลังจากคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการธนาคารจีนได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์บางส่วนจำกัดการปล่อยเงินกู้ พร้อมกับประกาศเป้าหมายการปล่อยกู้ภายในประเทศเอาไว้ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน หรือ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และจะยังคงควบคุมระดับการขยายตัวและปริมาณสินเชื่อในปีนี้
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองคำที่ระดับ 1,111.922 ตัน ณ วันที่ 19 ม.ค. ลดลง 0.08% จากวันที่ 18 ม.ค
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 21 มกราคม 2553 07:38
วิตกจีนเข้มงวดปล่อยกู้ฉุดดาวโจนส์ลบ 122 จุด น้ำมันดิบลงแตะระดับ 77 เหรียญ ทองร่วงแรงลบ27เหรียญ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา( 20 ม.ค.2553) ดัชนีปรับลดลงอย่างหนัก จากข่าวสถาบันการเงินของจีนเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและกู้ยืม เงินมากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้นักลงทุนหวั่นวิตกว่าอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 10,603.15 จุด ลดลง 122.28 จุด หรือ 1.14% ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 2,291.25 จุด ลดลง 29.15 จุด หรือ 1.26% และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,138.04 ลดลง 12.19 จุด หรือ 1.06%
ตลาดหุ้นสำคัญของยุโรป ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 5,420.80 จุด ลดลง 92.34 จุด หรือ 1.67% ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 5,851.53 จุด ลดลง 124.95 จุด หรือ 2.09% และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 3,928.95 จุด ลดลง 80.72 จุด หรือ 2.01%
ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 76.32 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 1.31 ดอลลาร์สหรัฐ.
ด้านราคาน้ำมันดิบที่ตลาดล่วงหน้านิวยอร์ค(ไนเม็กซ์) ลดลง 1.40 ดอลลาร์สหรัฐตามตลาดหุ้นโดยไปปิดที่ระดับ 77.62 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
เช่นเดียวกับราคาทองคำที่ร่วงแรงโดยลดลงกว่า 27.40ดอลลาร์ ปิดตลาดที่ระดับ 1,112.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
Sunday, January 17, 2010
China eager to buy IMF gold for $1,000 per ounce
Published on January 13, 2010 at 17:30
By David Lew
BEIJING: Two months after India’s Reserve Bank made big global news with the purchase of 200 tonnes of gold from the International Monetary Fund (IMF),
bullion traders are now waiting for the ‘golden’ news of 2010. The news in question: Will China buy the remaining 203 tonnes of gold from IMF soon?
Bullion trader and gold investors in China want the dragon country to take the plunge and buy the rest of the IMF gold, following India’s footsteps. India bought 200 tonnes of IMF gold for $1,045 an ounce. Soon after the India purchase, gold price zoomed to touch a high of $1,227 per ounce in November last year. Since then, the yellow metal price has come down. Gold is these days hovering around the $1,100-1,150 price range.
Last year, IMF approved the long-talked-about sale of 1/8th of its holdings, in "a volume strictly limited to 403.3 metric tons, with these sales to be conducted under modalities that safeguard against disruption of the gold market." The main IMF parameter to sell its gold reserve was that the sale has to be done at current market prices. So, now, the moot question is whether China will take the next step and buy 203 tonnes of gold from IMF at the current market price--$1,100-1,150 range?
Buying gold at the current market price would mean that China will be paying almost the same money per ounce of gold that India paid to IMF. Bullion experts recommend that China should go in for the IMF gold buy in this new year, as otherwise its ambitious task to mop up 10,000 tonnes of gold reserves in the next 10 years may be difficult to achieve.
The Chinese Central Bank—the People’s Bank of China—now holds record amounts of US dollars. But the gold holding of the Chinese central bank is at a paltry 1.8%. “China has set a big plan to mop up its gold reserves to beat the United States in the next 10 years. Currently, the gold reserves with the People’s Bank of China are the lowest for any central bank holdings, taking into account the booming Chinese economy,” says Jong-Yoon Chai, a bullion analyst based in Beijing.
According to him, even if China decides to buy 200 tonnes of gold from IMF, it will barely add up to 2% of the foreign exchange reserves of the Chinese central bank. “This is insignificant considering the big gold reserves target that China has set. So, it will be prudent if China buys IMF gold as early as possible before some other countries, may be India again, jumps into the fray to grab more gold from the IMF,” Jong-Yoon Chai told Commodity Online.
Jong-Yoon Chai says China is worried about the high price of gold when it comes to buying the IMF gold. “In fact, much before India decided to buy the IMF gold, the Chinese central bank had discussed and finalized plans to purchase the yellow metal from the global organization. One Chinese central bank official had even pronounced last year that China would buy IMF gold over a telephone call,” he says.
“But what prevented China from buying the IMF gold as per its wish was the zooming price of the precious metal last year. China thought gold prices would cool down to $800 per ounce and that would be the right opportunity. But gold at $800 per ounce was a price phenomenon of 2009 January. Now it will be impossible that gold price will dip to that level. So the best course of action for China now is to jump blindly at the IMF gold and grab it," Jong-Yoon Chai added.
Soon after India bought the IMF gold, Wei Benhua, former deputy head of the Chinese state administration of foreign exchange (SAFE), in an interview by the Chinese business magazine Caijing: “At present we should not buy. Instead we should wait for the IMF to sell gold next time, when the price of gold drops to a relatively low level, say, about $800 per ounce.”
Several central banks from China, Russia, Brazil, and even a small country like Sri Lanka are said to be in the fray to buy the rest of the IMF gold reserves. It cannot also be ruled that India will be buying out the complete stock of IMF gold reserves.
Dubai-based bullion analyst Mark Robison feels that China is waiting for gold price to dip further to buy the IMF gold. "My reading is that China is eager to buy gold for a price around $1,000 per ounce. The Chinese central bank is waiting for the right opportunity in bullion prices to jump into the IMF gold reserves," Robinson said.
China is the world’s biggest gold producer. In April, China increased reserves of gold by 76 percent to 1,054 tons since 2003. GFMS recently predicted that China will overtake India as the largest consumer of gold in the world.
China is willing to buy IMF gold, but not at the high price that India paid. Gold price may be zooming to records; but China wants to wait and watch so that price of the yellow metal crashes to realistic levels. Now, the question is will China be able to buy IMF gold at $1,000 per ounce in 2010.
David Lew is a precious metals commentator with Commodity Online. You can contact him at info@commodityonline.com
By David Lew
BEIJING: Two months after India’s Reserve Bank made big global news with the purchase of 200 tonnes of gold from the International Monetary Fund (IMF),
bullion traders are now waiting for the ‘golden’ news of 2010. The news in question: Will China buy the remaining 203 tonnes of gold from IMF soon?
Bullion trader and gold investors in China want the dragon country to take the plunge and buy the rest of the IMF gold, following India’s footsteps. India bought 200 tonnes of IMF gold for $1,045 an ounce. Soon after the India purchase, gold price zoomed to touch a high of $1,227 per ounce in November last year. Since then, the yellow metal price has come down. Gold is these days hovering around the $1,100-1,150 price range.
Last year, IMF approved the long-talked-about sale of 1/8th of its holdings, in "a volume strictly limited to 403.3 metric tons, with these sales to be conducted under modalities that safeguard against disruption of the gold market." The main IMF parameter to sell its gold reserve was that the sale has to be done at current market prices. So, now, the moot question is whether China will take the next step and buy 203 tonnes of gold from IMF at the current market price--$1,100-1,150 range?
Buying gold at the current market price would mean that China will be paying almost the same money per ounce of gold that India paid to IMF. Bullion experts recommend that China should go in for the IMF gold buy in this new year, as otherwise its ambitious task to mop up 10,000 tonnes of gold reserves in the next 10 years may be difficult to achieve.
The Chinese Central Bank—the People’s Bank of China—now holds record amounts of US dollars. But the gold holding of the Chinese central bank is at a paltry 1.8%. “China has set a big plan to mop up its gold reserves to beat the United States in the next 10 years. Currently, the gold reserves with the People’s Bank of China are the lowest for any central bank holdings, taking into account the booming Chinese economy,” says Jong-Yoon Chai, a bullion analyst based in Beijing.
According to him, even if China decides to buy 200 tonnes of gold from IMF, it will barely add up to 2% of the foreign exchange reserves of the Chinese central bank. “This is insignificant considering the big gold reserves target that China has set. So, it will be prudent if China buys IMF gold as early as possible before some other countries, may be India again, jumps into the fray to grab more gold from the IMF,” Jong-Yoon Chai told Commodity Online.
Jong-Yoon Chai says China is worried about the high price of gold when it comes to buying the IMF gold. “In fact, much before India decided to buy the IMF gold, the Chinese central bank had discussed and finalized plans to purchase the yellow metal from the global organization. One Chinese central bank official had even pronounced last year that China would buy IMF gold over a telephone call,” he says.
“But what prevented China from buying the IMF gold as per its wish was the zooming price of the precious metal last year. China thought gold prices would cool down to $800 per ounce and that would be the right opportunity. But gold at $800 per ounce was a price phenomenon of 2009 January. Now it will be impossible that gold price will dip to that level. So the best course of action for China now is to jump blindly at the IMF gold and grab it," Jong-Yoon Chai added.
Soon after India bought the IMF gold, Wei Benhua, former deputy head of the Chinese state administration of foreign exchange (SAFE), in an interview by the Chinese business magazine Caijing: “At present we should not buy. Instead we should wait for the IMF to sell gold next time, when the price of gold drops to a relatively low level, say, about $800 per ounce.”
Several central banks from China, Russia, Brazil, and even a small country like Sri Lanka are said to be in the fray to buy the rest of the IMF gold reserves. It cannot also be ruled that India will be buying out the complete stock of IMF gold reserves.
Dubai-based bullion analyst Mark Robison feels that China is waiting for gold price to dip further to buy the IMF gold. "My reading is that China is eager to buy gold for a price around $1,000 per ounce. The Chinese central bank is waiting for the right opportunity in bullion prices to jump into the IMF gold reserves," Robinson said.
China is the world’s biggest gold producer. In April, China increased reserves of gold by 76 percent to 1,054 tons since 2003. GFMS recently predicted that China will overtake India as the largest consumer of gold in the world.
China is willing to buy IMF gold, but not at the high price that India paid. Gold price may be zooming to records; but China wants to wait and watch so that price of the yellow metal crashes to realistic levels. Now, the question is will China be able to buy IMF gold at $1,000 per ounce in 2010.
David Lew is a precious metals commentator with Commodity Online. You can contact him at info@commodityonline.com
จีนเพิ่มสัดส่วนแบงก์สำรองทุนเบรกฟองสบู่ Bank of China, increase capital reserves
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553
ธนาคารกลางจีนออกมาตรการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ สั่งธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนสำรอง ลดความเสี่ยงฟองสบู่สินทรัพย์
ตลาดหุ้นทั่วโลกต้องพบกับความระส่ำวานนี้ ขณะที่ราคาทองคำก็ดิ่งตัวลงวันเดียวถึงเกือบ 30 เหรียญสหรัฐ หลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศมาตรการควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และลดความเสี่ยงภาวะฟองสบู่สินทรัพย์ ด้วยการให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในประเทศเพิ่มทุนสำรองขึ้นอีก 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.นี้
รอยเตอร์ส ระบุว่า จีนได้ใช้มาตรการควบคุมทางการเงินที่เข้มข้นที่สุด และยังกะทันหันกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ โดยให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนสำรองขึ้นอีก 0.5% ไปอยู่ที่ 15% นอกจากนี้ยังได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะ 1 ปีอีกด้วย
การดำเนินมาตรการดังกล่าวส่งผลให้จีนเป็นหนึ่งในไม่กี่เขตเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกที่เริ่มควบคุมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งออกมาตั้งแต่ปลายปี 2551 หลังเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจไปทั่วโลก
“มาตรการครั้งนี้ทำให้ตลาดทุนต้องตกตะลึง และแน่นอนว่าเป็นมาตรการเพื่อจำกัดการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะ” หลินสงลี่ นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทหลักทรัพย์กัวเซิน ซีเคียวริตีส์ ในกรุงปักกิ่ง กล่าวกับรอยเตอร์ส
ทั้งนี้ ตัวเลขการปล่อยกู้ใหม่ของธนาคารพาณิชย์เฉพาะสัปดาห์แรกของปีนี้ได้พุ่งทะลุไปถึง 6 แสนล้านหยวน (ราว 2.9 ล้านล้านบาท) แล้ว
ทางด้านเอพี ระบุว่า จีนได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของตนเองหลังจากนี้จะเป็นไปอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนพอ จึงได้เบนเป้าหมายจากการกระตุ้นเศรษฐกิจไปเป็นการควบคุมความร้อนแรงของสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่แทน
นอกจากนี้ รัฐบาลกรุงปักกิ่งก็ยังต้องการควบคุมเงินร้อนจากต่างประเทศที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนด้วย โดยราคาบ้านในกรุงปักกิ่งได้พุ่งขึ้นไปถึงเท่าตัวแล้วเมื่อเทียบกับ 3 ปีก่อน
การประกาศสายฟ้าแลบของจีนส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดฮ่องกง วานนี้ ดิ่งตัวลงทันที 28.5 เหรียญสหรัฐจากเมื่อวันอังคาร โดยลงมาปิดตลาดที่ 1,127–1,128 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ทางด้านดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีน ก็ดิ่งตัวลง 3.09% มาอยู่ที่ 3,172.66 จุด ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดฮ่องกง ก็ดิ่งลง 2.59% มาอยู่ที่ 21,748.60 จุดเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนเกรงว่ามาตรการครั้งนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
ธนาคารกลางจีนออกมาตรการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ สั่งธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนสำรอง ลดความเสี่ยงฟองสบู่สินทรัพย์
ตลาดหุ้นทั่วโลกต้องพบกับความระส่ำวานนี้ ขณะที่ราคาทองคำก็ดิ่งตัวลงวันเดียวถึงเกือบ 30 เหรียญสหรัฐ หลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศมาตรการควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และลดความเสี่ยงภาวะฟองสบู่สินทรัพย์ ด้วยการให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในประเทศเพิ่มทุนสำรองขึ้นอีก 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.นี้
รอยเตอร์ส ระบุว่า จีนได้ใช้มาตรการควบคุมทางการเงินที่เข้มข้นที่สุด และยังกะทันหันกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ โดยให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มทุนสำรองขึ้นอีก 0.5% ไปอยู่ที่ 15% นอกจากนี้ยังได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรระยะ 1 ปีอีกด้วย
การดำเนินมาตรการดังกล่าวส่งผลให้จีนเป็นหนึ่งในไม่กี่เขตเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกที่เริ่มควบคุมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งออกมาตั้งแต่ปลายปี 2551 หลังเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจไปทั่วโลก
“มาตรการครั้งนี้ทำให้ตลาดทุนต้องตกตะลึง และแน่นอนว่าเป็นมาตรการเพื่อจำกัดการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะ” หลินสงลี่ นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทหลักทรัพย์กัวเซิน ซีเคียวริตีส์ ในกรุงปักกิ่ง กล่าวกับรอยเตอร์ส
ทั้งนี้ ตัวเลขการปล่อยกู้ใหม่ของธนาคารพาณิชย์เฉพาะสัปดาห์แรกของปีนี้ได้พุ่งทะลุไปถึง 6 แสนล้านหยวน (ราว 2.9 ล้านล้านบาท) แล้ว
ทางด้านเอพี ระบุว่า จีนได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของตนเองหลังจากนี้จะเป็นไปอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนพอ จึงได้เบนเป้าหมายจากการกระตุ้นเศรษฐกิจไปเป็นการควบคุมความร้อนแรงของสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่แทน
นอกจากนี้ รัฐบาลกรุงปักกิ่งก็ยังต้องการควบคุมเงินร้อนจากต่างประเทศที่เข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนด้วย โดยราคาบ้านในกรุงปักกิ่งได้พุ่งขึ้นไปถึงเท่าตัวแล้วเมื่อเทียบกับ 3 ปีก่อน
การประกาศสายฟ้าแลบของจีนส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดฮ่องกง วานนี้ ดิ่งตัวลงทันที 28.5 เหรียญสหรัฐจากเมื่อวันอังคาร โดยลงมาปิดตลาดที่ 1,127–1,128 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ทางด้านดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีน ก็ดิ่งตัวลง 3.09% มาอยู่ที่ 3,172.66 จุด ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดฮ่องกง ก็ดิ่งลง 2.59% มาอยู่ที่ 21,748.60 จุดเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนเกรงว่ามาตรการครั้งนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
Thursday, January 14, 2010
ทองคำปิดบวก Gold closed $ 6.20 plus
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553 08:41
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้น นักลงทุนเชื่อมั่นในทิศทางเศรษฐกิจ หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,143.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.20 ดอลลาร์ เคลื่อนตัวในช่วง 1,130.70-1,146.70 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินเดือนมี.ค.ปิดที่ 18.655 ดอลลาร์/ออนซ์ ดีดขึ้น 10.50 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,604.80 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 30.40 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 443.05 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 18.10 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัท ลาซาล ฟิวเจอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่าสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าบริษัทเอกชนของสหรัฐกำลังเพิ่มคำสั่งซื้อสินค้าสำรองเอาไว้ในสต็อก เพราะเชื่อมั่นว่ายอดขายจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้น นักลงทุนเชื่อมั่นในทิศทางเศรษฐกิจ หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,143.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.20 ดอลลาร์ เคลื่อนตัวในช่วง 1,130.70-1,146.70 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินเดือนมี.ค.ปิดที่ 18.655 ดอลลาร์/ออนซ์ ดีดขึ้น 10.50 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,604.80 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 30.40 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 443.05 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 18.10 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัท ลาซาล ฟิวเจอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่าสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าบริษัทเอกชนของสหรัฐกำลังเพิ่มคำสั่งซื้อสินค้าสำรองเอาไว้ในสต็อก เพราะเชื่อมั่นว่ายอดขายจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
Wednesday, January 13, 2010
ทองคำปิดบวก Gold closed $ 7.40 plus
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553 06:42
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,136.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 7.40 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,118.50 - 1,138.60 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 18.550 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 29.50 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,574.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 4.20 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 424.95 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 85.00 เซนต์
นักวิเคราะห์จากบริษัท ลาซาล ฟิวเจอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรในสัญญาทองคำหลังจากดัชนี ICE Futures US dollar index ร่วงลง 0.2% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในตะกร้าสกุลเงิน ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีก
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองคำลดลง 3.657 ตัน หรือ 0.3% แตะที่ระดับ 1,115.884 ตัน ณ วันที่ 12 ม.ค.
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
ทองรูปพรรณบาทละ 18,350 baht
ราคาทองคำประจำวันที่ 14 ม.ค. 2553 ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 17,850 ขายออกบาทละ17,950 ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ17,585 ขายออกบาทละ18,350 บาท
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,136.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 7.40 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,118.50 - 1,138.60 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 18.550 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 29.50 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,574.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 4.20 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 424.95 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 85.00 เซนต์
นักวิเคราะห์จากบริษัท ลาซาล ฟิวเจอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรในสัญญาทองคำหลังจากดัชนี ICE Futures US dollar index ร่วงลง 0.2% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในตะกร้าสกุลเงิน ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีก
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองคำลดลง 3.657 ตัน หรือ 0.3% แตะที่ระดับ 1,115.884 ตัน ณ วันที่ 12 ม.ค.
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
ทองรูปพรรณบาทละ 18,350 baht
ราคาทองคำประจำวันที่ 14 ม.ค. 2553 ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 17,850 ขายออกบาทละ17,950 ทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ17,585 ขายออกบาทละ18,350 บาท
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
ทองคำปิดร่วง 22 ดอลล์ Gold closed fall 22 Doll
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553 06:35
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงหนักสุดในรอบ 3 สัปดาห์ นักลงทุนเทขายทำกำไร
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,129.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 22.00 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,124.30 - 1,158.30 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 18.255 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 44.00 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,578.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 13.90 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 425.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 6.15 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์จากบริษัท โบรกเกอร์เรจ เซอร์วิสเส แอลแอลซี ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายหลังจากสัญญาทองคำทะยานขึ้นเป็นเวลาหลายวันก่อนหน้านี้ และหลังจากมีรายงานว่าธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 0.5% เพื่อคลายความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนที่มีอัตราขยายตัวเร็วที่สุดในโลก
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถือครองทองคำที่ระดับ 1,119.541 ตัน ณ วันที่ 11 ม.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ 8 ม.ค.
ที่มา นสพ.โพสต์ทูเดย์
Sunday, January 10, 2010
Gold prices to touch $5000: US Gold Corp
Gold Prices recovered from a new 7-week low in Asian and London dealing on Wednesday, rising above $1080 an ounce as world stock markets extended their 3-day gains.
"Trading is uneventful with Tokyo out on holiday," said one dealer. "Investor and physical interest in the Far East seems to be slowing down ahead of the year end," says another.
Crude oil crept back above $74.50 per barrel, meantime, more than twice the price of this time last year.
On the currency markets the US Dollar was flat early Wednesday, holding the British Pound and Japanese Yen at 8-week lows and the Euro – which most often moves in the same direction as Dollar-Gold Prices – near a 16-week low.
"It's quite possible we have seen the peak in gold," reckons Erik Davidson, managing director of private banking at Wells Fargo in the western United States.
"In 2010, I think things will go back to normal – i.e. a growing economy – and normal takes a bit of fear away from gold."
But "Annual mine production is declining and costs are going up, so that means higher Gold Prices," says Rob McEwen, CEO of North America's third largest gold miner, US Gold Corp.
"By the end of 2010 I see the Gold Price at $2000 and before the game's over at over $5000," he told Reuters on Tuesday.
Forecasting that the peak will "probably" come between 2012 and 2014, "Gold is only used as a currency in times of economic distress, and we're at one of those points," says McEwen – "one of three in the last 110 years."
Short term, "Technically Gold has looked weak since reversing off 1226.50 on December 3rd," says today's note from Scotia Mocatta. "Long dark candle sticks overhang the price action, keeping our bias lower."
"I am looking at a [range of] $1050 to $1125 for the next couple of weeks", says George Gero at RBC Capital Markets.
"Longer term these large sell-offs represent buying opportunities but not in the short term."
Here in Europe on Wednesday, minutes from the latest Bank of England policy meeting showed all nine members of the executive voting to keep UK rates at the historical low of 0.5% and proceed with £200 billion ($320bn) of quantitative easing.
"Positive developments" in the economy were "relatively minor", the Monetary Policy Committee agreed, pointing to "uncertainties [in] the medium-term outlook."
UK government bonds ticked lower on Wednesday, pushing the yield offered by 10-year gilts up towards 4.0%.
German Bunds also fell, taking 10-year Euro yields up to 3.30%. US Treasuries were little changed.
The Gold Price in both Sterling and Euros bounced from 5-week lows at £675 and €756 an ounce respectively.
"If you start having serious problems credit wise with the likes of Spain, then the Euro's credibility and its pricing against other currencies becomes a much bigger issue," says Goldman Sachs chief economist Jim O'Neill, speaking to Bloomberg.
"Obviously the Euro appears to be already affected by this."
The Moody's rating agency yesterday joined Fitch and S&P in downgrading Greece's government bonds. Athens today adopted a "crisis budget" aimed at reducing its public deficit, running at 12.7% of annual GDP.
China's largest stock broker, Citic Securities, meantime raised its GDP forecast for the world's third largest economy, saying China could increase output by 12% in 2010 and risk a surge of inflation unless the People's Bank raises interest rates.
Chinese households this year overtook Indian consumers as the world's No.1 private gold buyers, spending the equivalent of 2.0% of income saved on Gold Investment and jewelry.
Courtesy: http://www.bullionvault.com
By Adrian Ash
Friday, January 8, 2010
สนิมของทองคำ Corrosion of gold
ณ วันนี้ ผู้ที่ลงทุนซื้อทองคำเก็บไว้เมื่อหลายปีก่อน คงนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับกำไรที่ทำได้อย่างงดงาม โดยเฉพาะผู้ที่ซื้อไว้เป็นเวลากว่าห้าปี
เนื่องจากไม่มีการลงทุนหรือการเก็งกำไรชนิดไหนในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จะทำกำไรได้ถึงสามเท่าของเงินทุนเช่นการซื้อทองคำ แต่ผู้ที่เพิ่งซื้อเมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา คงจะตกอยู่ในภาวะหายใจไม่ค่อยทั่วท้องบ้างเป็นครั้งคราว ภาวะเช่นนี้จะคงอยู่ต่อไปแม้จะมีผู้ทำนายว่าราคาทองคำจะ ยังเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ เพราะในเวลาเดียวกันมีผู้แย้งว่า ย้อนไปห้าปีบรรดาผู้เชี่ยวชาญก็พากันยืนยันอย่างแข็งขันว่าราคาบ้านใน อเมริกาจะไม่มีทางตก เนื่องจากผมไม่มีความสามารถที่จะฟันธงลงไปว่าราคาทองคำจะวิวัฒน์ไปทางไหน ผมจะไม่เขียนถึงเรื่องราคาในอนาคต แต่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผลพวงที่ทองคำทำให้เกิดขึ้น
ผู้สนใจในเรื่องราวของทองคำคงทราบแล้วว่า ผู้ผลิตทองคำราย ใหญ่ ได้แก่ จีน แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย และเปรู เมื่อเร็วๆ นี้ มีสำนักข่าวหลายแห่งส่งพนักงานไปดูการทำเหมืองทองคำที่ เปรูและนำเรื่องราวมาเล่าไว้ในสื่อต่างๆ รวมทั้งในหนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์ และในเว็บไซต์ของบีบีซี เนื้อเรื่องชี้ให้เห็นกระบวนการและปัญหาของการทำเหมืองทองคำในเขตป่าอะเมซอนซึ่งครั้งหนึ่งผมได้ไปดู จึงขอนำมาเล่าสู่กัน
เราทราบดีแล้วว่าป่าอะเมซอนเป็นป่าดงดิบขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ในเขตของประเทศบราซิลเป็นส่วนมาก นอกจากนั้น ส่วนหนึ่งยังครอบคลุมไปถึงอีกหลายประเทศ รวมทั้งเปรูทางตะวันตกและกายอานาทางตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้อีกด้วย รายงานการทำเหมืองทองคำในเปรูไม่ต่างกับการทำเหมืองทองคำที่ผมเห็นในกายอานา ยกเว้นในแง่ที่มันมีขนาดใหญ่โตกว่าเท่านั้น ราคาของทองคำที่พุ่งขึ้นไปทำให้การขุดค้นหาทองคำและการทำเหมืองทั้งในกายอานาและในเปรูแพร่ขยายออกไปอีก
การขุดค้นหาทองคำและการทำเหมืองดังกล่าวเป็นการทำที่ไม่มีใบอนุญาตและการควบคุมของรัฐบาล และเป็นกิจการขนาดเล็กจำพวกร่อนทรายหาทองคำตาม ลำธารไปจนถึงการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ไถ ขุด เจาะพ่นน้ำและร่อนหาแร่ทอง พวกร่อนทรายไม่ต้องตัดต้นไม้หรือทำลายชายฝั่งของลำน้ำเพื่อค้นหาแร่ ฉะนั้นกิจการของพวกเขามักไม่มีผลกระทบทางลบในด้านการตัดไม้ทำลายป่าและแหล่ง น้ำ อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการแยกละอองทองคำออก จากทราย พวกเขาใช้ปรอทผสมลงในทราย เพื่อให้ละอองของทองเกาะปรอท หลังจากแยกปรอทออกทรายได้แล้ว พวกเขาก็จะเผาปรอทโดยการเอาใส่ลงในภาชนะ อาทิเช่น กระทะ แล้วนำขึ้นลนไฟ ปรอทจะระเหยไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งทองไว้ที่ก้นภาชนะ ผู้เผาปรอทมักสูดควันอันแสนจะเป็นอันตรายเข้าไปในปอด นอกจากนั้น ในกระบวนการนี้มักมีปรอทตกหล่นอยู่ตามต้นน้ำ สารอันเป็นอันตรายสูงนี้จะถูกสัตว์น้ำตัวเล็กๆ กินเข้าไปและเมื่อปลาตัวใหญ่กว่ากินปลาเล็ก ปรอทก็จะเข้าไปอยู่ในวงจรอาหาร ซึ่งในที่สุดจะทำอันตรายให้แก่คน
พวกที่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่จะทำลายสิ่งแวดล้อมสูงมาก เนื่องจากพวกเขาจะตัดต้นไม้ทำลายป่าดงดิบ ไถ ขุด เจาะพื้นดินและพ่นน้ำเข้าตามฝั่งลำธาร รายงานในหนังสือพิมพ์มีรูปการพังทลายของพื้นดินประกอบ และอ้างว่าถ้าอยากจะเห็น "แผลเป็น" ของการตัดต้นไม้พร้อมกับการทำลายสิ่งแวดล้อม จะต้องนั่งเครื่องบินขึ้นไปวนเวียนดูจึงจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ย้อนไปเมื่อสมัยผมไปกายอานาบ่อยๆ ผมเคยนั่งเครื่องบินไปวนดูแผลเป็นดังกล่าว จึงนึกออกทันทีว่ามันน่าวิตกขนาดไหน นอกจากจะตัดต้นไม้จนเตียนหมดแล้ว การขุดดินเป็นสระเล็กใหญ่ยังก่อให้เกิดการพังทลายจนสายน้ำลำธารกลายเป็นสี โคลนอย่างกว้างขวางอีกด้วย นักขุดแร่พวกนี้มักใช้วิธีแยกทองด้วยการใช้ปรอทเช่นกัน ฉะนั้น พวกเขาสร้างผลกระทบเช่นเดียวกับพวกร่อนทรายในด้านการทิ้งปรอทไว้ในสิ่งแวด ล้อม
นอกจากการทำเหมืองที่ไม่มีใบอนุญาตและขาดการควบคุม จะสร้างผลเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและทำอันตรายให้แก่ผู้กินปลาที่มีปรอทอยู่ใน ตัวแล้ว การทำเหมืองแร่ที่มีใบอนุญาตก็อาจทำอันตรายได้สูงด้วยเช่นกัน ในกรณีที่ผมมีโอกาสได้เห็นในกายอานา ผู้ประกอบการเหมืองทองคำใช้ กระบวนการแยกทองที่ต้องใช้ไซยาไนด์ ซึ่งเป็นอันตรายสูงมากในตัวของมันเองอยู่แล้ว กระบวนการนั้นเกิดน้ำผสมไซยาไนด์เป็นผลพลอยได้จำนวนมาก แต่หากทิ้งน้ำนั้นไว้ในสระที่ปลอดภัย สารไซยาไนด์จะค่อยๆ ระเหยไปโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ถ้าผู้ประกอบการมักง่าย และปล่อยน้ำผสมไซยาไนด์ออกไปตามคลอง อันตรายร้ายแรงจะเกิดขึ้นกับสัตว์น้ำและคน แม้ผู้ประกอบการในกายอานาจะไม่มักง่ายเช่นนั้น แต่การที่กายอานามีฝนตกหนักเป็นครั้งคราว เมื่อฝนตกหนักเกินความคาดหมาย น้ำในสระที่มีไซยาไนด์ผสมอยู่ก็ล้นออกมา ยิ่งกว่านั้น ถ้าการสร้างสระดังกล่าวไม่รัดกุม ก้นสระอาจจะรั่ว หรือเขื่อนรอบสระอาจจะพังทลาย ปล่อยไซยาไนด์ออกไปจำนวนมากเช่นกัน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในกายอานา และเมื่อปี 2543 ในโรมาเนีย สระดังกล่าวแตก น้ำผสมไซยาไนด์ทำปลาตายไปราว 150 ตัน และแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ถูกทำลายไปจำนวนมาก
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าทองคำทำ ประโยชน์ได้หลายอย่าง เนื่องจากมันไม่เป็นสนิม อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ถูกนำไปทำเครื่องประดับ และเก็บไว้ในรูปของทองแท่ง ซึ่งส่วนหนึ่งธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เก็บไว้แทนเงินสำรอง และอีกส่วนซื้อขายกันในตลาด เพื่อเก็งกำไร เนื่องจากในปัจจุบันนี้ ไม่มีการใช้ทองคำประกันค่าของเงินตราอีกแล้ว การเก็บทองคำไว้ในธนาคารกลาง จึงไม่มีความจำเป็นเช่นเดียวกับการซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร จริงอยู่ตัวของทองคำไม่เป็นสนิม แต่อันตรายอันเกิดจากการทำลายสิ่งแวดล้อมดังที่เล่ามาอาจมองได้ว่าเป็นสนิมของทองคำ หวังว่าการพูดเช่นนี้ จะไม่ทำให้ผู้มีทองคำเก็บไว้เพื่อเก็งกำไรขุ่นเคืองมากนัก
โดย : ดร.ไสว บุญมา
Thursday, January 7, 2010
หมดยุคตื่นทองของไทย Out Thailand's golden era panic
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 29 พฤศจิกายน 2552 19:07 น.
‘มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่’ เป็นสำนวนไทยโบราณ ที่ดูจะโบรานไปแล้วจริงๆ เพราะสมัยนี้ถ้ามีเงินอย่างเดียวก็เป็นได้ทั้งพี่ ทั้งพ่อ (จริงๆ ในสำนวนน่าจะหมายถึงแร่เงินมากกว่า)
แต่ก็ช่างเถอะ เพราะที่เรายกสำนวนนี้ขึ้นมาเปิดเรื่อง ก็เพราะอยากจะชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยนั้น มีความนิยมในโลหะที่เรียกว่า ‘ทองคำ’ มานานแสนนาน
เมื่อก่อนทองที่สวมใส่หรือมีเก็บไว้ เป็นเสมือนศักดิ์ศรีและหน้าตาของเจ้าของ ไม่ว่าจะงานแต่ง งานบวช งานปีใหม่ งานสงกรานต์ฯลฯ คนในยุคก่อน (และยุคนี้บางคน) ก็มักจะงัดทองในกรุที่เก็บไว้มาใส่กันจนคอแทบหัก แต่เดี๋ยวนี้ภาพเหล่านั้น กลับค่อยๆ เลือนหายไป
ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็ราคาทองทุกวันนี้มันพุ่งขึ้นไปบาทละเกือบจะสองหมื่นแล้วล่ะสิ คนที่เคยหาเงินมาได้แล้วซื้อทองเก็บก็เริ่มจะชักไม่ไหว คนที่มีทองเก็บอยู่ก็เอามาขาย สู้เอาเงินที่ได้ไปลงทุนอย่างอื่นให้มันงอกเงยจะดีกว่าไหม
และเมื่อทองซื้อไม่ง่าย ขายไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน คนที่รับกรรมไปเต็มๆ ก็คือพ่อค้าทองอย่างไม่ต้องสงสัย
ประมานการกันว่า ร้านทองที่เคยมีอยู่หลายพันร้านซึ่งกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร จะลดลงเหลือเพียงแค่หลักร้อยภายใน 5 – 6 ปีนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะลูกค้าที่ซื้อทองรูปพรรณหดหายลงไปทุกวันจากค่านิยมที่เปลี่ยนไป ส่วนคนที่เก็บทองแท่งเพื่อเป็นการลงทุนนั้นก็หันไปเล่นในตลาดทองกระดาษ หรือ Gold futures ซึ่งจะซื้อขายทางออนไลน์แทนที่จะซื้อกันผ่านหน้าร้านกันหมด
อนาคตร้านทองตู้แดง
“ทองเดี๋ยวนี้ราคามันขึ้นเร็ว เมื่อก่อนมันใช้เวลาหลายสิบ ปีกว่าราคาจะขึ้นจากไม่กี่ร้อยกลายมาเป็นสี่พัน แต่ 5 – 6 ปีที่ผ่านมานั้น มันขึ้นเร็วมาก สองปีหลังสุดนี่ยิ่งเร็วจนน่ากลัว คนก็เลยซื้อกันไม่ไหว เงินเดือนคนเขาไม่ได้ขึ้นตามไปด้วยนี่ และร้านทองนั้นมันเป็นธุรกิจเงินหมุน ถ้าคนไม่มาซื้อเลยมีแต่คนเอามาขายให้ร้าน สภาพคล่องก็จะเสีย มันจะช็อตเอา ที่ร้านหลายๆ ร้าน จะต้องเลิกกิจการก็เพราะอย่างนี้” ลือชา กิจบำรุง เจ้าของร้านทองย่านลาดกระบัง บอกกับเราว่า ช่วงนี้ร้านทองตู้แดงทั้งหลายกำลังเข้าสู่ช่วงขาลง
“ที่ปิดตัวลงไปอย่างรวดเร็วเลยก็มี เพราะสายป่านของแต่ละร้านก็มีไม่เท่ากัน ที่ผ่านมาลูกค้าลดลงเพราะทองมันแพง แล้วคนมาขายคืนก็มีเยอะ ในช่วงที่ราคามันพุ่งขึ้นเร็วๆ ลูกค้าก็แห่มาขายกัน แต่พอพักหนึ่งก็น้อยลง มีคนมาซื้อบ้าง มันเป็นวงจร
“ตอนนี้ร้านทองส่วนมากนี่อยู่กันได้ ก็เพราะกำไรจากการซื้อทองจากลูกค้าและดอกเบี้ยในการจำนำ ถ้าไม่มีตรงนี้ก็อยู่ไม่ได้ แต่ก่อนนั้น ขายได้วันอย่างน้อยก็ 3 – 4 บาท แต่มาเดี๋ยวนี้ไม่มียอดไปสองวันก็มี พอมีคนมาซื้อทีก็ขายได้แค่สลึง สองสลึง ส่วนทองเก่าที่คนเขามาขายคืน หลังจากซื้อมาเราก็ต้องส่งไปขายต่อที่โรงงานหลอม ซึ่งเขาก็หักค่าหลอมจากเราอีก”
แม้จะขายได้น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นเลย บรรดาแม่ค้า และคนหาเช้ากินค่ำทั่วไป ก็ยังนิยมซื้อทองไปเก็บไว้ใส่ตามงานเทศกาลต่างๆ อยู่บ้าง
“เขาเอาไปใส่กันในช่วงงานสงกรานต์ เข้าพรรษาออกพรรษา ธรรมดาก็ไม่ค่อยใส่กันหรอก หรืออาจจะใส่เส้นเล็กหน่อย เพราะว่าทองมันแพง เขากลัวกัน แต่ที่ยังมีคนมาซื้ออยู่ก็เพราะเมื่อไหร่ที่เขาร้อนเงิน เขาก็เอาทองมาจำนำได้ คนที่หาเช้ากินค่ำนี่เขาหมุนเงินจากการนำทองมาฝากที่ร้าน ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นลูกค้าประจำ มันเป็นเหมือนการกู้เงินด่วน”
จะเห็นได้ว่าธุรกิจร้านทองในทุกวันนี้ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดที่บางร้านนั้นไม่มีทองแขวนในตู้เลยสักเส้น แต่ก็ยังรับจำนำเพื่อกินดอกอย่างเดียว
โอกาสทองของเทียม
หลายคนคงสงสัยว่าที่คนไม่ใส่ทองกันนั้น เหตุผลหลักๆ ข้อแรกก็คงจะเป็นเพราะมันแพงจนซื้อไม่ไหว ถัดมาก็อาจจะเป็นเพราะความนิยมในทองมันเลือนหายไปจากสังคมไทยแล้วจริงๆ ถ้าเป็นเหตุผลแรก ก็น่าจะเป็นโอกาสของบรรดาของปลอมที่จะเข้ามายึดตลาดคนที่ยังบ้าทองแต่ไม่มีตังค์
“ราคาทองแท้ที่แพงขึ้นไม่ค่อยมีผลกระทบกับทองปลอมนะ ก็ขายได้เท่าเดิม คนที่เคยซื้อส่วนมากก็ลูกค้าประจำ เพราะทองปลอมมันเก่าเร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่บ่อยๆ ไม่เหมือนทองแท้ เลยขายได้เรื่อยๆ” ป้าอำไพ เจ้าของร้านทองปลอมย่านเตาปูน เล่าให้เราฟังถึงสถานการณ์การขายทองปลอม ในยามที่ทองจริงแพงเอาๆ
แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยนิยมซื้อสร้อยคอทองปลอมเส้นโตๆ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่ากลัวโจร!!!
“กลุ่มลูกค้ามีหลากหลายนะ ส่วนมากเค้านิยมต่างหูกัน สร้อยคอก็พอมีบ้าง แต่สร้อยทองเส้นโตๆไม่ค่อยมีใครนิยมซื้อแล้ว ที่พอขายได้บ้างก็เป็นลูกค้าผู้ชายมาซื้อ สงสัยเขาไม่กลัวโจร”
ส่วนทางด้านร้านชุบทองย่านบางรักก็บอกว่า ทุกวันนี้คนเอาทองปลอมมาใช้บริการชุบน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยวนี้เขาไม่ใส่ทองกันแล้ว บางคนใส่ทองจริงเส้นโตๆ ก็ยังถูกหาว่าใส่ทองปลอมเลย เขาไม่เชื่อน้ำหน้า เพราะทองมันแพงมาก”
ถ้าไม่นับเรื่องการซื้อทองมาเก็บเพื่อทำกำไรแล้ว ก็น่าสงสัยว่าคนไทยนั้นคงจะไม่นิยมทองเท่าแต่ก่อนแล้วจริงๆ...
คนไทยไม่ตื่นทอง (รูปพรรณ)
ธิดารัตน์ หนูนิ่ม หรือ อ้อแอ้ สาวน้อยวัย 21 ปีบอกกับเราว่า สาเหตุที่เธอไม่ชอบใส่ทองคำนั้น เพราะคิดว่าการใส่เครื่องประดับที่มีราคาอย่างทองคำไม่เหมาะกับวัย อีกทั้งยังแพงเกินกว่าที่นักศึกษาอย่างเธอจะซื้อหาได้ นอกจากนี้ภาพลักษณ์ของคนที่ใส่ทองก็มักจะดู ‘แก่’ ทำให้วัยรุ่นอย่างเธอไม่ค่อยชอบใส่ทองกัน
“ในความคิดมองว่าการใส่ทองมันเหมือนว่าเป็นคนแก่ ดูมีอายุด้วย อย่างวัยเราถ้าจะใส่ก็น่าจะเป็นเครื่องเงินเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่หวือหวาก็เป็นเพชรไปเลย ใส่ทองมันก็แล้วแต่ความชอบของคน บางคนอาจจะชอบเครื่องประดับสีทอง แต่ตัวเองชอบเครื่องประดับสีเงิน”
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอไม่ชอบใส่ทองนั้น เพราะต้องคอยระมัดระวังไม่ให้หาย เนื่องจากมีมูลค่าสูง หากหายไปแล้วจะรู้สึกเสียดายมากกว่าเครื่องประดับธรรมดาที่ใส่อยู่เป็นประจำทุกวันนี้
“แถวๆ รอบมหาวิทยาลัยก็มีโจรอยู่แล้ว มีการกระชากกระเป๋ากันเป็นเรื่องธรรมดามาก เกิดขึ้นได้ทุกวันทุกเวลา นับประสาอะไรกับทองซึ่งมันอยู่ภายนอกตัวเรา ซึ่งมันเห็นได้ตลอดเวลาว่าใส่หรือไม่ใส่”
ดังนั้น หากมีสร้อยทองสักเส้นในครอบครอง อ้อแอ้จึงเลือกที่จะเก็บไว้มากกว่านำมาใส่
“นอกจากว่าทางครอบครัวไหนที่มีฐานะถึงจะให้ทองลูกมาใส่ แต่สำหรับเราก็ไม่ใส่อยู่ดี คงจะเก็บไว้ ที่บ้านเคยพูดว่า อย่าเพิ่งใส่เลยลูก มันยังไม่ถึงเวลาที่เราจะใส่ของเครื่องประดับที่มีค่า จริงๆ แล้วคอโล่งว่างเปล่าก็ไม่ได้แปลว่า เราไม่มีเงินหรือว่าเราไม่มีทรัพย์สินที่มีค่า จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ใจเรามากกว่าว่าเราจะใส่หรือไม่ใส่” อ้อแอ้ฝากข้อคิดทิ้งท้าย
ทางด้านนักเก็บสะสมทองคำรุ่นเก่ารายหนึ่งเปิดเผยว่า สำหรับเขาการซื้อทองไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการออมทรัพย์ในรูปแบบหนึ่งเขาเริ่มเก็บสะสมทองคำตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าราคาทองคำจะแพง ‘บ้าเลือด’ ได้ถึงขนาดนี้
“สำหรับผมการซื้อทองคำ มันเป็นทั้งเครื่องประดับด้วย เราไม่ได้มองมันเป็นการลงทุน เพราะเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะมากมายขนาดนั้น เรามองว่ามันมั่นคง เมื่อเทียบในการลงทุนต่างๆ อย่างหุ้น เรามองว่าการซื้อทองเก็บมันมีความเสี่ยงต่ำสุด คือราคาทองมันผันผวนน้อย แล้วที่ผ่านมาเราก็เห็นว่ามันมีแต่ขึ้น ถ้าลงมันก็จะลงไม่มาก ไม่เหมือนเพชร ทองคำจะซื้อง่ายขายคล่องกว่า แล้วไม่ขาดทุน เราซื้อขายตามราคาท้องตลาด”
เขาบอกว่าสำหรับการลงทุนเพชรพลอยหรือเครื่องประดับอื่นๆ มีโอกาสขาดทุน ในขณะที่การซื้อขายทองคำจะว่ากันตามราคาตลาด
“ถ้าเราไปซื้อเพชรพลอย ร้านที่ได้มาตรฐานเขาจะออกใบการันตีให้เราใบหนึ่ง จะเขียนไว้เลยว่าถ้าไปเปลี่ยนลดสิบเปอร์เซ็นต์ขายคืนลดยี่สิบ พอถึงตอนนั้นเขาไม่สนใจหรอกว่าซื้อไปเท่าไหร่ ไม่ว่าราคาทองจะขึ้นเพชรจะขึ้น เขาก็ดูราคาที่เขาลงไว้ให้เรา แล้วก็หักจากตรงนั้นเลย”
เขายอมรับว่า ค่านิยมของความเป็นคนไทยเชื้อสายจีนส่วนหนึ่ง เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาชอบเก็บสะสมทองคำ ส่วนคำถามที่ว่าเมื่อราคาทองคำแพงขึ้นเช่นปัจจุบันนี้ เขาคิดจะนำทองคำที่สะสมไว้ออกมาขายบ้างไหม นักสะสมทองผู้นี้ตอบว่าขึ้นอยู่กับความจำเป็นในขณะนั้น ว่าจำเป็นต้องใช้เงินหรือไม่ หากไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นเงินสด ก็จะยังคงเก็บต่อไปเรื่อยๆ แต่หากจำเป็นก็คงนำออกมาขาย แล้วหากวันหนึ่งข้างหน้ามีเงินค่อยกลับมาซื้อเก็บสะสมใหม่
สำหรับการซื้อทองคำเพื่อสะสม ณ วันนี้นั้น เขาบอกตามตรงว่า “ถ้ามีตังค์ก็จะซื้อ”
เพราะมองว่าราคาทองคำน่าจะสูงขึ้นไปกว่านี้อีก ส่วนที่มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตร้านค้าทองจะลดน้อยลง เพราะคนนิยมใส่ทองคำกันน้อยลงนั้น เขากล่าวว่า ถ้าเป็นการซื้อทองเพื่อเป็นเครื่องประดับลดลงคงจะน้อยลงจริง เพราะราคาทองมันสูงมาก แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มที่ซื้อขายทองล่วงหน้าแบบเป็นการลงทุนซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าร้านขายทองน่าจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ร้านทองทั่วไปลดลง
“มันเป็นลู่ทางสำหรับนักลงทุนจริงๆ การซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับมันคงลดลง เพราะราคามันสูงจนชนชั้นล่างซื้อไม่ไหว และอีกหน่อยคือคนชั้นกลางมันแตะต้องยาก กำลังมันซื้อไม่ถึงแล้ว ความชอบหรือความนิยมทองคำไม่น่าจะน้อยลง แต่โอกาสใช้มันน้อยลงแน่ เพราะราคามันสูง พอราคามันถึงจุดหนึ่งแล้วคนซื้อไม่ไหว คนก็ต้องเปลี่ยนไปเล่นหรือใส่เครื่องประดับอย่างอื่นที่ราคามันต่ำลงมา”
หลังจากฟังเสียงของหลายฝ่าย เราก็พอจะคาดการณ์ได้ว่า อนาคตของการซื้อขายทองรูปพรรณนั้นช่างมืดมนเหลือเกิน ในอนาคตการซื้อทองไว้ใส่อวดกันคงจะน้อยลงๆ จะเหลือก็แต่การซื้อขายทองกระดาษเพื่อการลงทุน ร้านขายทองตู้แดงที่เป็นร้านขายปลีกก็คงต้องทยอยปิดตัวลงไปตามการคาดการณ์ แต่ก็คงจะไม่หมดไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของทุกสิ่งในโลก ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปในที่สุด
ไม่รู้ว่าถึงวันนั้น สำนวน ‘มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่’ จะยังคงใช้ในสังคมไทยได้หรือไม่
Tuesday, January 5, 2010
เตือนอย่าตื่นราคาทองร่วง แนะหาจังหวะซื้อ Gold prices fall, do not panic warning for stroke buy recommendation.
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เลขาธิการสมาคมค้างทองคำเตือนอย่าตื่นราคาทองร่วง แนะหาจังหวะซื้อลงทุน คาดไตรมาสแรกปี"53 เคลื่อนไหวที่ 950-1,200 ดอลลาร์/ออนซ์
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในไตรมาส 1 ปีนี้ คาดว่าจะมีความผันผวน แต่ไม่รุนแรงเท่ากับปี 2552 ที่ผ่านมา เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เพราะรัฐบาลแต่ละประเทศยังมีการสำรองเม็ดเงินเพื่ออุ้มภาวะเศรษฐกิจต่อไป โดยประเมินว่าราคาทองคำในไตรมาส 1 จะทรงตัว โดยราคาสูงสุดไม่เกิน 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และราคาต่ำสุดประมาณ 950 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม ทิศทางราคาทองคำประเมินได้เพียงระยะสั้นยังไม่สามารถกำหนดได้ เพราะเปลี่ยนแปลงตามกระแสการลงทุนของกองทุนเก็งกำไร หากราคาน้ำมันในตลาดโลก ปรับขึ้นเกิน 80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ กองทุนเก็งกำไรอาจจะย้ายไปลงทุนในน้ำมันแทน เช่นเดียวกัน หากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หรือธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะมีการเปลี่ยนการลงทุนไปในอัตราแลก เปลี่ยนเงินตราและตราสารทางการเงิน ซึ่งก็จะทำให้ตลาดทองคำลดความร้อนแรงลงได้
ทั้งนี้ ราคาทองคำในปี 2553 คงไม่ผันผวนหนักเท่ากับปีที่ผ่านมา ที่ราคาขึ้นถึง 200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะปรับลงมา 66 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในเดือน พ.ย.-ธ.ค.2552 เพราะทิศทางเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้น แตกต่างจากปี 2552 ที่เกิดปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินสหรัฐ
สำหรับผู้สนใจลงทุนในทองคำสามารถที่จะทยอยซื้อทองคำสะสม เมื่อราคาอ่อนตัวลงมาประมาณ 16,000-17,000 บาท โดยควรใช้เงินเยน และไม่ควรตกใจเมื่อราคาทองคำปรับลดลงมาก แต่ควรใช้เป็นจังหวะซื้อสะสมมากกว่า
สมาคมค้าทองคำ ยัน ราคาทองคำปีนนี้ผันผวนต่อ
Monday, 04 January 2010 12:21
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในไตรมาส 1 ปีนี้ คาดว่าจะมีความผันผวน แต่ไม่รุนแรงเท่ากับปี 2552 ที่ผ่านมา เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้น แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เพราะรัฐบาลแต่ละประเทศยังมีการสำรองเม็ดเงินเพื่ออุ้มภาวะเศรษฐกิจต่อไป โดยประเมินว่าราคาทองคำในไตรมาส 1 จะทรงตัว โดยราคาสูงสุดไม่เกิน 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และราคาต่ำสุดประมาณ 950 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
อย่าง ไรก็ตาม ทิศทางราคาทองคำประเมินได้เพียงระยะสั้นยังไม่สามารถกำหนดได้ เพราะเปลี่ยนแปลงตามกระแสการลงทุนของกองทุนเก็งกำไร หากราคาน้ำมันในตลาดโลก ปรับขึ้นเกิน 80 ดอลลาร์สหรัฐต่ออนซ์ กองทุนเก็งกำไรอาจจะย้ายไปลงทุนในน้ำมันแทน เช่นเดียวกัน หากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หรือธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะมีการเปลี่ยนการลงทุนไปในอัตราแลก เปลี่ยนเงินตราและตราสารทางการเงิน ซึ่งก็จะทำให้ตลาดทองคำลดความร้อนแรงลงได้
นายพิชญา กล่าวว่า สำหรับผู้สนใจลงทุนในทองคำสามารถที่จะทยอยซื้อทองคำสะสม เมื่อราคาอ่อนตัวลงมาประมาณ 16,000-17,000 บาท โดยควรใช้เงินเยน และไม่ควรตกใจเมื่อราคาทองคำปรับลดลงมาก แต่ควรใช้เป็นจังหวะซื้อสะสมมากกว่า
ส.ค้าทองฯ คาดราคาทองคำไตรมาส 1 ทรงตัวไม่เกิน $1,200
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 มกราคม 2553 12:49 น.
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำในไตรมาส 1 ปีนี้ คาดว่า จะมีความผันผวน แต่ไม่รุนแรงเท่ากับปี 2552 ที่ผ่านมา เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกดูดีขึ้น แต่ยังไม่มั่นใจว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เพราะรัฐบาลแต่ละประเทศยังมีการสำรองเม็ดเงิน เพื่ออุ้มภาวะเศรษฐกิจต่อไป โดยประเมินว่า ราคาทองคำในไตรมาส 1 จะทรงตัว โดยราคาสูงสุดไม่เกิน 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และราคาต่ำสุดประมาณ 950 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม ทิศทางราคาทองคำประเมินได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะเปลี่ยนแปลงตามกระแสการลงทุนของกองทุนเก็งกำไร หากราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับผู้สนใจลงทุนในทองคำสามารถที่จะทยอยซื้อทองคำสะสม เมื่อราคาอ่อนตัวลงมาประมาณ 16,000-17,000 บาท และไม่ควรตกใจเมื่อราคาทองคำปรับลดลงมาก แต่ควรใช้เป็นจังหวะซื้อสะสมมากกว่า
ทั้งนี้ราคาทองประจำวันที่ 4 ม.ค.2553 ทองคำแท่งรับซื้อ 17,300 บาทขายออก 17,400 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อ 17,055 บาท และขายออก 17,800 บาท
Commodities CrudeOil Gold Silver
Crude Oil
With cold temperatures in the United States adding credence to the early 2010 bullish demand scenario and the U.S. dollar moving lower, crude oil prices rose to a five-week high during the week of 28 December. Prices edged closer to $80 after trading below $75 as recently as 22 December. Such wide price swings can be expected at the end of the year where the holiday period results in light trading volumes. WTI oil prices could continue to move between $75 and $81 into the beginning of January. Crude oil inventories in the United States have been posting notable declines in line with the increase in refinery runs. Oil product stocks also have been declining, on rising demand for distillates. Prices are expected to break out of this range when market participants perceive the global economic recovery to be on firmer footing.
Gold
Gold prices may move more firmly back above $1,100 this week, but could continue to consolidate around this level overall. Stronger investment demand is expected to revive in early 2010, moving prices higher. Over the past two weeks gold has traded in a narrow range mostly between $1,075 and $1,119. Slight shifts in investor sentiment amid lighter year-end trading volumes may have swayed prices more forcefully than they otherwise would have. Combined exchange traded fund gold holdings were 56.74 million ounces on 29 December, not far from the record 57.08 million ounces held in the middle of December. Increased movements in the U.S. dollar have been tugging at gold prices recently. Economic data slightly better than some market participants had expected has been supportive of the dollar and has helped weigh on gold. Any dips in gold prices as a result of such views have been met quickly with renewed investor buying, however. Gold price volatility may pick soon as investors begin to adjust their portfolios for the new year. It is likely that they will add gold to their portfolios, at least in the first few months of the year.
Silver
Silver may trade around $17.00 for most of this week, as investors return more
forcefully to this market. Price dips below this level have been taken as buying
opportunities over the past two weeks. This increased buying may have come more from fabricators than from investors. Combined exchange traded fund silver holdings have been little changed at 465.57 million ounces since 22 December. Reduced activity from investors during the last couple of weeks may have contributed to the relatively lower silver price volatility than in previous weeks. A price decline toward $16.00 – $16.25 may see increased buying, however, from both end-users and investors. On the upside, a price rally toward $18.00 also would be expected to spark buying from fabricators and investors. Fabricators may buy on concerns of having to purchase silver at higher prices later, while investors may buy in expectation of higher prices.
With cold temperatures in the United States adding credence to the early 2010 bullish demand scenario and the U.S. dollar moving lower, crude oil prices rose to a five-week high during the week of 28 December. Prices edged closer to $80 after trading below $75 as recently as 22 December. Such wide price swings can be expected at the end of the year where the holiday period results in light trading volumes. WTI oil prices could continue to move between $75 and $81 into the beginning of January. Crude oil inventories in the United States have been posting notable declines in line with the increase in refinery runs. Oil product stocks also have been declining, on rising demand for distillates. Prices are expected to break out of this range when market participants perceive the global economic recovery to be on firmer footing.
Gold
Gold prices may move more firmly back above $1,100 this week, but could continue to consolidate around this level overall. Stronger investment demand is expected to revive in early 2010, moving prices higher. Over the past two weeks gold has traded in a narrow range mostly between $1,075 and $1,119. Slight shifts in investor sentiment amid lighter year-end trading volumes may have swayed prices more forcefully than they otherwise would have. Combined exchange traded fund gold holdings were 56.74 million ounces on 29 December, not far from the record 57.08 million ounces held in the middle of December. Increased movements in the U.S. dollar have been tugging at gold prices recently. Economic data slightly better than some market participants had expected has been supportive of the dollar and has helped weigh on gold. Any dips in gold prices as a result of such views have been met quickly with renewed investor buying, however. Gold price volatility may pick soon as investors begin to adjust their portfolios for the new year. It is likely that they will add gold to their portfolios, at least in the first few months of the year.
Silver
Silver may trade around $17.00 for most of this week, as investors return more
forcefully to this market. Price dips below this level have been taken as buying
opportunities over the past two weeks. This increased buying may have come more from fabricators than from investors. Combined exchange traded fund silver holdings have been little changed at 465.57 million ounces since 22 December. Reduced activity from investors during the last couple of weeks may have contributed to the relatively lower silver price volatility than in previous weeks. A price decline toward $16.00 – $16.25 may see increased buying, however, from both end-users and investors. On the upside, a price rally toward $18.00 also would be expected to spark buying from fabricators and investors. Fabricators may buy on concerns of having to purchase silver at higher prices later, while investors may buy in expectation of higher prices.
Friday, January 1, 2010
Gold was 1,300.
เซียนฟันธงราคาทองขึ้น1,300
เซียนค้าทองคำแท่ง คาดปี 2553 ราคาผันผวน ได้เห็นจุดสูงสุด 1,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เตือนดอกเบี้ยขาขึ้นและเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นทุบราคาตกหนัก
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่ม MTS โกลด์ เปิดเผยว่า ปี 2553 ราคาทองคำเริ่มต้นที่ 1,110 เหรียญสหรัฐ และมีโอกาสขึ้นเฉลี่ย 20% หรือเห็นจุดสูงสุดไม่น้อยกว่า 1,330 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และภาพรวมราคาทองคำปีหน้าจะผันผวนเช่นเดียวกับปี 2552
สำหรับตัวแปรสำคัญที่สุด คือ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นจากคาดการณ์เศรษฐกิจฟื้นตัว และหากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นตามคาด ปลายปี 2553 จะเห็นราคาทองคำปรับตัวแรงๆ ในไตรมาส 3 เป็นต้นไป
“แนวโน้มระยะยาวปีหน้ายังมองเป็นขาขึ้น แต่จะตกอยู่กับความผันผวนของเศรษฐกิจและดอกเบี้ย สำหรับโกลด์ฟิวเจอร์สต้องใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบระยะสั้นและ สั้นมาก” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำโลกในปี 2553 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกที่ได้แรงหนุนจากฤดูกาลที่เป็นช่วงสูงสุดของความต้องการจิวเวลรี และเทศกาลตรุษจีน ซึ่งจีนถือเป็นประเทศที่บริโภคทองรูปพรรณ รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ประมาณปีละ 400 ตัน รอง จากอินเดียที่บริโภคประมาณปีละ 800 ตัน
ขณะที่จุดสูงสุดของราคาทองคำปี 2553 ไว้ที่ 1,250-1,300 เหรียญสหรัฐ/ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 1.95-2.05 หมื่นบาท/ต่อบาททอง ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นในช่วงครึ่งปีแรก และหลังจากนั้นราคาทองคำอาจจะร่วงลงแรง จากการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินสหรัฐจากผ่อนคลายเป็นเข้มงวด โดยคาดการณ์จุดต่ำสุดของราคาทองคำไว้ที่ 1,000-1,050 เหรียญสหรัฐ/ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 1.55-1.65 หมื่นบาท/บาททอง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงครึ่งแรกปี 2553 แนะนำซื้อ เพื่อเก็งกำไรระยะสั้น หรือ 20-30% ของพอร์ตการลงทุน และให้ติดตามการเคลื่อนไหวของตัวเลขเศรษฐกิจโลก รวมถึงค่าเงินเหรียญสหรัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับสถานะการลงทุน
“เงินเหรียญสหรัฐกลับมา แข็งค่าเปลี่ยนเป็นแนวโน้นขาขึ้น โอกาสที่ราคาทองคำโลกร่วงลงก็มีความเป็นไปได้สูง ให้ปรับกลยุทธ์จากเก็งกำไรระยะสั้น มาเป็นการซื้อลงทุนระยะยาวในลักษณะการทยอยซื้อ” นายภาคภูมิ กล่าว
สำหรับการลงทุนทองคำแท่งปี 2552 ราคาปรับตัวขึ้นรุนแรงกว่า 30% ภายในปีเดียวไปทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,126.37 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หรือ 1.92 หมื่นบาท/บาททอง และช่วงปลายปีดัชนีตลาดหุ้นย่ำอยู่กับที่จากกรณีการเมืองและมาบตาพุด ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส ซื้อขายเฉลี่ยวันละ 5,000 สัญญาต่อวัน จากเดิมวันละ 500 สัญญาต่อวัน
เซียนค้าทองคำแท่ง คาดปี 2553 ราคาผันผวน ได้เห็นจุดสูงสุด 1,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เตือนดอกเบี้ยขาขึ้นและเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นทุบราคาตกหนัก
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่ม MTS โกลด์ เปิดเผยว่า ปี 2553 ราคาทองคำเริ่มต้นที่ 1,110 เหรียญสหรัฐ และมีโอกาสขึ้นเฉลี่ย 20% หรือเห็นจุดสูงสุดไม่น้อยกว่า 1,330 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และภาพรวมราคาทองคำปีหน้าจะผันผวนเช่นเดียวกับปี 2552
สำหรับตัวแปรสำคัญที่สุด คือ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นจากคาดการณ์เศรษฐกิจฟื้นตัว และหากเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นตามคาด ปลายปี 2553 จะเห็นราคาทองคำปรับตัวแรงๆ ในไตรมาส 3 เป็นต้นไป
“แนวโน้มระยะยาวปีหน้ายังมองเป็นขาขึ้น แต่จะตกอยู่กับความผันผวนของเศรษฐกิจและดอกเบี้ย สำหรับโกลด์ฟิวเจอร์สต้องใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบระยะสั้นและ สั้นมาก” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX) กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำโลกในปี 2553 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกที่ได้แรงหนุนจากฤดูกาลที่เป็นช่วงสูงสุดของความต้องการจิวเวลรี และเทศกาลตรุษจีน ซึ่งจีนถือเป็นประเทศที่บริโภคทองรูปพรรณ รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ประมาณปีละ 400 ตัน รอง จากอินเดียที่บริโภคประมาณปีละ 800 ตัน
ขณะที่จุดสูงสุดของราคาทองคำปี 2553 ไว้ที่ 1,250-1,300 เหรียญสหรัฐ/ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 1.95-2.05 หมื่นบาท/ต่อบาททอง ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นในช่วงครึ่งปีแรก และหลังจากนั้นราคาทองคำอาจจะร่วงลงแรง จากการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินสหรัฐจากผ่อนคลายเป็นเข้มงวด โดยคาดการณ์จุดต่ำสุดของราคาทองคำไว้ที่ 1,000-1,050 เหรียญสหรัฐ/ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 1.55-1.65 หมื่นบาท/บาททอง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงครึ่งแรกปี 2553 แนะนำซื้อ เพื่อเก็งกำไรระยะสั้น หรือ 20-30% ของพอร์ตการลงทุน และให้ติดตามการเคลื่อนไหวของตัวเลขเศรษฐกิจโลก รวมถึงค่าเงินเหรียญสหรัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับสถานะการลงทุน
“เงินเหรียญสหรัฐกลับมา แข็งค่าเปลี่ยนเป็นแนวโน้นขาขึ้น โอกาสที่ราคาทองคำโลกร่วงลงก็มีความเป็นไปได้สูง ให้ปรับกลยุทธ์จากเก็งกำไรระยะสั้น มาเป็นการซื้อลงทุนระยะยาวในลักษณะการทยอยซื้อ” นายภาคภูมิ กล่าว
สำหรับการลงทุนทองคำแท่งปี 2552 ราคาปรับตัวขึ้นรุนแรงกว่า 30% ภายในปีเดียวไปทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,126.37 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หรือ 1.92 หมื่นบาท/บาททอง และช่วงปลายปีดัชนีตลาดหุ้นย่ำอยู่กับที่จากกรณีการเมืองและมาบตาพุด ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส ซื้อขายเฉลี่ยวันละ 5,000 สัญญาต่อวัน จากเดิมวันละ 500 สัญญาต่อวัน
Subscribe to:
Posts (Atom)
Archive
-
▼
2010
(19)
-
►
January
(14)
- ทองคำปิดบวก 6 ดอลล์ Gold closed plus 6 Dollar
- ราคาทองคำร่วงลง $13.50 หลังดอลลาร์ร่วง Gold prices...
- ดอลลาร์แข็งค่า กดราคาทองร่วงลงกว่า 27.40 ดอลลาร์ U...
- China eager to buy IMF gold for $1,000 per ounce
- จีนเพิ่มสัดส่วนแบงก์สำรองทุนเบรกฟองสบู่ Bank of Ch...
- ทองคำปิดบวก Gold closed $ 6.20 plus
- ทองคำปิดบวก Gold closed $ 7.40 plus
- ทองคำปิดร่วง 22 ดอลล์ Gold closed fall 22 Doll
- Gold prices to touch $5000: US Gold Corp
- สนิมของทองคำ Corrosion of gold
- หมดยุคตื่นทองของไทย Out Thailand's golden era panic
- เตือนอย่าตื่นราคาทองร่วง แนะหาจังหวะซื้อ Gold pri...
- Commodities CrudeOil Gold Silver
- Gold was 1,300.
-
►
January
(14)
playlist
Create a MySpace Playlist at MixPod.com