Thursday, January 7, 2010

หมดยุคตื่นทองของไทย Out Thailand's golden era panic


โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 29 พฤศจิกายน 2552 19:07 น.
‘มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่’ เป็นสำนวนไทยโบราณ ที่ดูจะโบรานไปแล้วจริงๆ เพราะสมัยนี้ถ้ามีเงินอย่างเดียวก็เป็นได้ทั้งพี่ ทั้งพ่อ (จริงๆ ในสำนวนน่าจะหมายถึงแร่เงินมากกว่า)

แต่ก็ช่างเถอะ เพราะที่เรายกสำนวนนี้ขึ้นมาเปิดเรื่อง ก็เพราะอยากจะชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยนั้น มีความนิยมในโลหะที่เรียกว่า ‘ทองคำ’ มานานแสนนาน

เมื่อก่อนทองที่สวมใส่หรือมีเก็บไว้ เป็นเสมือนศักดิ์ศรีและหน้าตาของเจ้าของ ไม่ว่าจะงานแต่ง งานบวช งานปีใหม่ งานสงกรานต์ฯลฯ คนในยุคก่อน (และยุคนี้บางคน) ก็มักจะงัดทองในกรุที่เก็บไว้มาใส่กันจนคอแทบหัก แต่เดี๋ยวนี้ภาพเหล่านั้น กลับค่อยๆ เลือนหายไป

ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็ราคาทองทุกวันนี้มันพุ่งขึ้นไปบาทละเกือบจะสองหมื่นแล้วล่ะสิ คนที่เคยหาเงินมาได้แล้วซื้อทองเก็บก็เริ่มจะชักไม่ไหว คนที่มีทองเก็บอยู่ก็เอามาขาย สู้เอาเงินที่ได้ไปลงทุนอย่างอื่นให้มันงอกเงยจะดีกว่าไหม

และเมื่อทองซื้อไม่ง่าย ขายไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน คนที่รับกรรมไปเต็มๆ ก็คือพ่อค้าทองอย่างไม่ต้องสงสัย

ประมานการกันว่า ร้านทองที่เคยมีอยู่หลายพันร้านซึ่งกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร จะลดลงเหลือเพียงแค่หลักร้อยภายใน 5 – 6 ปีนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะลูกค้าที่ซื้อทองรูปพรรณหดหายลงไปทุกวันจากค่านิยมที่เปลี่ยนไป ส่วนคนที่เก็บทองแท่งเพื่อเป็นการลงทุนนั้นก็หันไปเล่นในตลาดทองกระดาษ หรือ Gold futures ซึ่งจะซื้อขายทางออนไลน์แทนที่จะซื้อกันผ่านหน้าร้านกันหมด

อนาคตร้านทองตู้แดง
“ทองเดี๋ยวนี้ราคามันขึ้นเร็ว เมื่อก่อนมันใช้เวลาหลายสิบ ปีกว่าราคาจะขึ้นจากไม่กี่ร้อยกลายมาเป็นสี่พัน แต่ 5 – 6 ปีที่ผ่านมานั้น มันขึ้นเร็วมาก สองปีหลังสุดนี่ยิ่งเร็วจนน่ากลัว คนก็เลยซื้อกันไม่ไหว เงินเดือนคนเขาไม่ได้ขึ้นตามไปด้วยนี่ และร้านทองนั้นมันเป็นธุรกิจเงินหมุน ถ้าคนไม่มาซื้อเลยมีแต่คนเอามาขายให้ร้าน สภาพคล่องก็จะเสีย มันจะช็อตเอา ที่ร้านหลายๆ ร้าน จะต้องเลิกกิจการก็เพราะอย่างนี้” ลือชา กิจบำรุง เจ้าของร้านทองย่านลาดกระบัง บอกกับเราว่า ช่วงนี้ร้านทองตู้แดงทั้งหลายกำลังเข้าสู่ช่วงขาลง

“ที่ปิดตัวลงไปอย่างรวดเร็วเลยก็มี เพราะสายป่านของแต่ละร้านก็มีไม่เท่ากัน ที่ผ่านมาลูกค้าลดลงเพราะทองมันแพง แล้วคนมาขายคืนก็มีเยอะ ในช่วงที่ราคามันพุ่งขึ้นเร็วๆ ลูกค้าก็แห่มาขายกัน แต่พอพักหนึ่งก็น้อยลง มีคนมาซื้อบ้าง มันเป็นวงจร

“ตอนนี้ร้านทองส่วนมากนี่อยู่กันได้ ก็เพราะกำไรจากการซื้อทองจากลูกค้าและดอกเบี้ยในการจำนำ ถ้าไม่มีตรงนี้ก็อยู่ไม่ได้ แต่ก่อนนั้น ขายได้วันอย่างน้อยก็ 3 – 4 บาท แต่มาเดี๋ยวนี้ไม่มียอดไปสองวันก็มี พอมีคนมาซื้อทีก็ขายได้แค่สลึง สองสลึง ส่วนทองเก่าที่คนเขามาขายคืน หลังจากซื้อมาเราก็ต้องส่งไปขายต่อที่โรงงานหลอม ซึ่งเขาก็หักค่าหลอมจากเราอีก”

แม้จะขายได้น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นเลย บรรดาแม่ค้า และคนหาเช้ากินค่ำทั่วไป ก็ยังนิยมซื้อทองไปเก็บไว้ใส่ตามงานเทศกาลต่างๆ อยู่บ้าง

“เขาเอาไปใส่กันในช่วงงานสงกรานต์ เข้าพรรษาออกพรรษา ธรรมดาก็ไม่ค่อยใส่กันหรอก หรืออาจจะใส่เส้นเล็กหน่อย เพราะว่าทองมันแพง เขากลัวกัน แต่ที่ยังมีคนมาซื้ออยู่ก็เพราะเมื่อไหร่ที่เขาร้อนเงิน เขาก็เอาทองมาจำนำได้ คนที่หาเช้ากินค่ำนี่เขาหมุนเงินจากการนำทองมาฝากที่ร้าน ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นลูกค้าประจำ มันเป็นเหมือนการกู้เงินด่วน”

จะเห็นได้ว่าธุรกิจร้านทองในทุกวันนี้ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดที่บางร้านนั้นไม่มีทองแขวนในตู้เลยสักเส้น แต่ก็ยังรับจำนำเพื่อกินดอกอย่างเดียว

โอกาสทองของเทียม
หลายคนคงสงสัยว่าที่คนไม่ใส่ทองกันนั้น เหตุผลหลักๆ ข้อแรกก็คงจะเป็นเพราะมันแพงจนซื้อไม่ไหว ถัดมาก็อาจจะเป็นเพราะความนิยมในทองมันเลือนหายไปจากสังคมไทยแล้วจริงๆ ถ้าเป็นเหตุผลแรก ก็น่าจะเป็นโอกาสของบรรดาของปลอมที่จะเข้ามายึดตลาดคนที่ยังบ้าทองแต่ไม่มีตังค์

“ราคาทองแท้ที่แพงขึ้นไม่ค่อยมีผลกระทบกับทองปลอมนะ ก็ขายได้เท่าเดิม คนที่เคยซื้อส่วนมากก็ลูกค้าประจำ เพราะทองปลอมมันเก่าเร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่บ่อยๆ ไม่เหมือนทองแท้ เลยขายได้เรื่อยๆ” ป้าอำไพ เจ้าของร้านทองปลอมย่านเตาปูน เล่าให้เราฟังถึงสถานการณ์การขายทองปลอม ในยามที่ทองจริงแพงเอาๆ

แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ เดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยนิยมซื้อสร้อยคอทองปลอมเส้นโตๆ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่ากลัวโจร!!!

“กลุ่มลูกค้ามีหลากหลายนะ ส่วนมากเค้านิยมต่างหูกัน สร้อยคอก็พอมีบ้าง แต่สร้อยทองเส้นโตๆไม่ค่อยมีใครนิยมซื้อแล้ว ที่พอขายได้บ้างก็เป็นลูกค้าผู้ชายมาซื้อ สงสัยเขาไม่กลัวโจร”

ส่วนทางด้านร้านชุบทองย่านบางรักก็บอกว่า ทุกวันนี้คนเอาทองปลอมมาใช้บริการชุบน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวนี้เขาไม่ใส่ทองกันแล้ว บางคนใส่ทองจริงเส้นโตๆ ก็ยังถูกหาว่าใส่ทองปลอมเลย เขาไม่เชื่อน้ำหน้า เพราะทองมันแพงมาก”

ถ้าไม่นับเรื่องการซื้อทองมาเก็บเพื่อทำกำไรแล้ว ก็น่าสงสัยว่าคนไทยนั้นคงจะไม่นิยมทองเท่าแต่ก่อนแล้วจริงๆ...

คนไทยไม่ตื่นทอง (รูปพรรณ)
ธิดารัตน์ หนูนิ่ม หรือ อ้อแอ้ สาวน้อยวัย 21 ปีบอกกับเราว่า สาเหตุที่เธอไม่ชอบใส่ทองคำนั้น เพราะคิดว่าการใส่เครื่องประดับที่มีราคาอย่างทองคำไม่เหมาะกับวัย อีกทั้งยังแพงเกินกว่าที่นักศึกษาอย่างเธอจะซื้อหาได้ นอกจากนี้ภาพลักษณ์ของคนที่ใส่ทองก็มักจะดู ‘แก่’ ทำให้วัยรุ่นอย่างเธอไม่ค่อยชอบใส่ทองกัน

“ในความคิดมองว่าการใส่ทองมันเหมือนว่าเป็นคนแก่ ดูมีอายุด้วย อย่างวัยเราถ้าจะใส่ก็น่าจะเป็นเครื่องเงินเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่หวือหวาก็เป็นเพชรไปเลย ใส่ทองมันก็แล้วแต่ความชอบของคน บางคนอาจจะชอบเครื่องประดับสีทอง แต่ตัวเองชอบเครื่องประดับสีเงิน”

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอไม่ชอบใส่ทองนั้น เพราะต้องคอยระมัดระวังไม่ให้หาย เนื่องจากมีมูลค่าสูง หากหายไปแล้วจะรู้สึกเสียดายมากกว่าเครื่องประดับธรรมดาที่ใส่อยู่เป็นประจำทุกวันนี้

“แถวๆ รอบมหาวิทยาลัยก็มีโจรอยู่แล้ว มีการกระชากกระเป๋ากันเป็นเรื่องธรรมดามาก เกิดขึ้นได้ทุกวันทุกเวลา นับประสาอะไรกับทองซึ่งมันอยู่ภายนอกตัวเรา ซึ่งมันเห็นได้ตลอดเวลาว่าใส่หรือไม่ใส่”

ดังนั้น หากมีสร้อยทองสักเส้นในครอบครอง อ้อแอ้จึงเลือกที่จะเก็บไว้มากกว่านำมาใส่

“นอกจากว่าทางครอบครัวไหนที่มีฐานะถึงจะให้ทองลูกมาใส่ แต่สำหรับเราก็ไม่ใส่อยู่ดี คงจะเก็บไว้ ที่บ้านเคยพูดว่า อย่าเพิ่งใส่เลยลูก มันยังไม่ถึงเวลาที่เราจะใส่ของเครื่องประดับที่มีค่า จริงๆ แล้วคอโล่งว่างเปล่าก็ไม่ได้แปลว่า เราไม่มีเงินหรือว่าเราไม่มีทรัพย์สินที่มีค่า จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ใจเรามากกว่าว่าเราจะใส่หรือไม่ใส่” อ้อแอ้ฝากข้อคิดทิ้งท้าย

ทางด้านนักเก็บสะสมทองคำรุ่นเก่ารายหนึ่งเปิดเผยว่า สำหรับเขาการซื้อทองไม่ใช่การลงทุน แต่เป็นการออมทรัพย์ในรูปแบบหนึ่งเขาเริ่มเก็บสะสมทองคำตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าราคาทองคำจะแพง ‘บ้าเลือด’ ได้ถึงขนาดนี้

“สำหรับผมการซื้อทองคำ มันเป็นทั้งเครื่องประดับด้วย เราไม่ได้มองมันเป็นการลงทุน เพราะเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะมากมายขนาดนั้น เรามองว่ามันมั่นคง เมื่อเทียบในการลงทุนต่างๆ อย่างหุ้น เรามองว่าการซื้อทองเก็บมันมีความเสี่ยงต่ำสุด คือราคาทองมันผันผวนน้อย แล้วที่ผ่านมาเราก็เห็นว่ามันมีแต่ขึ้น ถ้าลงมันก็จะลงไม่มาก ไม่เหมือนเพชร ทองคำจะซื้อง่ายขายคล่องกว่า แล้วไม่ขาดทุน เราซื้อขายตามราคาท้องตลาด”

เขาบอกว่าสำหรับการลงทุนเพชรพลอยหรือเครื่องประดับอื่นๆ มีโอกาสขาดทุน ในขณะที่การซื้อขายทองคำจะว่ากันตามราคาตลาด

“ถ้าเราไปซื้อเพชรพลอย ร้านที่ได้มาตรฐานเขาจะออกใบการันตีให้เราใบหนึ่ง จะเขียนไว้เลยว่าถ้าไปเปลี่ยนลดสิบเปอร์เซ็นต์ขายคืนลดยี่สิบ พอถึงตอนนั้นเขาไม่สนใจหรอกว่าซื้อไปเท่าไหร่ ไม่ว่าราคาทองจะขึ้นเพชรจะขึ้น เขาก็ดูราคาที่เขาลงไว้ให้เรา แล้วก็หักจากตรงนั้นเลย”

เขายอมรับว่า ค่านิยมของความเป็นคนไทยเชื้อสายจีนส่วนหนึ่ง เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาชอบเก็บสะสมทองคำ ส่วนคำถามที่ว่าเมื่อราคาทองคำแพงขึ้นเช่นปัจจุบันนี้ เขาคิดจะนำทองคำที่สะสมไว้ออกมาขายบ้างไหม นักสะสมทองผู้นี้ตอบว่าขึ้นอยู่กับความจำเป็นในขณะนั้น ว่าจำเป็นต้องใช้เงินหรือไม่ หากไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นเงินสด ก็จะยังคงเก็บต่อไปเรื่อยๆ แต่หากจำเป็นก็คงนำออกมาขาย แล้วหากวันหนึ่งข้างหน้ามีเงินค่อยกลับมาซื้อเก็บสะสมใหม่

สำหรับการซื้อทองคำเพื่อสะสม ณ วันนี้นั้น เขาบอกตามตรงว่า “ถ้ามีตังค์ก็จะซื้อ”

เพราะมองว่าราคาทองคำน่าจะสูงขึ้นไปกว่านี้อีก ส่วนที่มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตร้านค้าทองจะลดน้อยลง เพราะคนนิยมใส่ทองคำกันน้อยลงนั้น เขากล่าวว่า ถ้าเป็นการซื้อทองเพื่อเป็นเครื่องประดับลดลงคงจะน้อยลงจริง เพราะราคาทองมันสูงมาก แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มที่ซื้อขายทองล่วงหน้าแบบเป็นการลงทุนซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งหน้าร้านขายทองน่าจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ร้านทองทั่วไปลดลง

“มันเป็นลู่ทางสำหรับนักลงทุนจริงๆ การซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับมันคงลดลง เพราะราคามันสูงจนชนชั้นล่างซื้อไม่ไหว และอีกหน่อยคือคนชั้นกลางมันแตะต้องยาก กำลังมันซื้อไม่ถึงแล้ว ความชอบหรือความนิยมทองคำไม่น่าจะน้อยลง แต่โอกาสใช้มันน้อยลงแน่ เพราะราคามันสูง พอราคามันถึงจุดหนึ่งแล้วคนซื้อไม่ไหว คนก็ต้องเปลี่ยนไปเล่นหรือใส่เครื่องประดับอย่างอื่นที่ราคามันต่ำลงมา”

หลังจากฟังเสียงของหลายฝ่าย เราก็พอจะคาดการณ์ได้ว่า อนาคตของการซื้อขายทองรูปพรรณนั้นช่างมืดมนเหลือเกิน ในอนาคตการซื้อทองไว้ใส่อวดกันคงจะน้อยลงๆ จะเหลือก็แต่การซื้อขายทองกระดาษเพื่อการลงทุน ร้านขายทองตู้แดงที่เป็นร้านขายปลีกก็คงต้องทยอยปิดตัวลงไปตามการคาดการณ์ แต่ก็คงจะไม่หมดไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของทุกสิ่งในโลก ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปในที่สุด

ไม่รู้ว่าถึงวันนั้น สำนวน ‘มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่’ จะยังคงใช้ในสังคมไทยได้หรือไม่

No comments:

Post a Comment

playlist